พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำพัง
อย่างไรก็ตาม แก่นศาสนาคริสต์เชื่อว่า พระเจ้าได้ตรัสกับเราในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยทรงส่งพระบุตรของพระองค์มายังเรา พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำพัง พระองค์ทรงเผยแสดงพระองค์เองแก่เรา เราไม่ต้องพยายามแก้ปัญหาเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาด้วยตัวเราเอง เพราะพระเจ้าทรงช่วยเรา
คริสตชนบางกลุ่มถือตนว่าเป็นผู้ที่รู้จักพระเจ้า พวกเขาจึงทำตนหยิ่ง หรือมองคนอื่นด้อยกว่า หรือไม่ก็กลายเป็นพวกคลั่งศาสนา แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่มีใจอ่อนน้อมถ่อมตนคือใจความสำคัญของผู้ที่ศรัทธาในพระเยซูเจ้า ใช่ว่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะกลายเป็นบุคคลพิเศษที่สุดสำหรับพระองค์ เพราะความจริง บุคคลเหล่านั้นยังคงห่างไกลจากพระเจ้านัก แต่เป็นเพราะพวกเขาได้รับของขวัญที่พิเศษสุดต่างหาก นั่นคือการได้รู้จักกับพระคริสตเจ้าและอยากที่จะแบ่งปันของขวัญชิ้นเดียวกันนี้ให้กับเพื่อนมนุษย์ ดั่งเช่นที่พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า พระองค์ทรงเป็นหนทางไปถึงพระเจ้า ทรงเป็นความจริงและทรงเป็นชีวิต
การเชื้อเชิญสู่ความเชื่อ
ความเชื่อเป็นเสมือนของขวัญ หากเพียงพระจิตเจ้าทรงดลใจเรา เราก็จะสามารถเชื่อในพระเยซูเจ้าได้ ซึ่งความเชื่อนั้นขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่โดยปกติแล้วเมื่อถึงจุดที่มนุษย์มีความเชื่อ ก็จะเกิดสัมพันธภาพตามมาด้วย ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจในความเชื่อของแต่ละคน แม้ว่าเราอาจจะยังไม่พร้อมก็ตาม เช่นเดียวกับเรื่องพระเจ้า พระองค์ตรัสเรียกเรามาเพื่อมอบดวงใจและเข้าถึงพระองค์
เราเดินไปด้วยความเชื่อและมิใช่ตามสิ่งที่เห็น
ลองนึกภาพว่ามีเส้นลวดขึงอยู่ระหว่างตึกธนาคารกับสำนักงานศาลในเมืองที่ท่านอยู่ สตรีผู้หนึ่งยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกธนาคาร และประกาศความตั้งใจว่าจะเดินบนเส้นลวดข้ามไปยังสำนักงานศาล คนกลุ่มหนึ่งมาร่วมเป็นพยานในการกระทำที่อาจหาญนี้ ไม่มีตาข่ายอยู่ด้านล่างเพื่อรองรับสตรีผู้นี้ในกรณีที่เธอพลาดตกลงไป เธอถามคนกลุ่มนั้นว่าพวกเขาเชื่อหรือไม่ว่าเธอจะทำสำเร็จ หลายคนตอบว่าเชื่อและก็เป็นกำลังใจให้เธอดำเนินต่อไป เธอค่อย ๆ เดินข้ามช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง บางช่วงก็ส่ายไปมาและเกือบจะเสียการทรงตัว พอเดินไปถึงอีกฟากหนึ่งเธอก็ได้ยินเสียงไชโยจากเบื้องล่าง ผู้คนร้องตะโกนออกมาว่า “ดีมาก เก่งจริงๆ” แล้วเธอก็หยิบรถเข็นล้อเดียวออกมาคันหนึ่ง และถามผู้ชมว่าเชื่อไหมว่าเธอสามารถเข็นรถเดินกลับไปอีกฟากหนึ่งได้ บางคนพยักหน้าแสดงการยอมรับ ส่วนคนอื่นๆก็ส่ายหน้าด้วยความไม่แน่ใจ ในเวลานั้นเองเธอมองตรงไปยังชายคนหนึ่งและร้องถามว่า “คุณคิดว่าฉันทำได้ไหม?” เขาตอบรับว่าเธอทำได้และยิ้มให้ เธอจึงท้าเขาว่า “งั้นพิสูจน์ความเชื่อของคุณที่มีต่อฉัน โดยขึ้นมานั่งบนรถเข็นคันนี้สิ”