พอใจในสิ่งที่มี
บุคคลผู้มีความสุขกับชีวิต
บุคคลผู้ที่ชีวิตแสนจะเรียบง่ายนั้น
เขาคือคนที่รู้จักพอใจ
ไม่โหยหาสิ่งใดเพิ่มเติมอีก
เขารู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่ตนเองมี
อยู่อย่างเต็มที่ . . เขาไว้วางใจว่า
พระเจ้าจะเพิ่มเติมสิ่งอื่นๆ ให้
ในเวลาอันสมควร . . .
การมีมาก ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
อย่างที่โลกนี้ต้องการให้เชื่อจริงหรือ ?
คริสต์ศาสนา (อังกฤษ : Christianity) เป็นศาสนาแห่งความรัก เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ ทรงรักประชากรของพระองค์ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่นับถือศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก และทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงมนุษย์ เมื่อ 6,000 ปีก่อน พระเจ้าคือพระยาห์เวห์ (นิกายโรมันคาทอลิก, นิกายออร์โธดอกซ์) หรือ พระยะโฮวา (นิกายโปรเตสแตนต์) มีพระเยชูคริสต์เป็นศาสดา คริสต์ศาสนาเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียวซึ่งดำรงใน
สามพระบุคคล ในพระลักษณะ "ตรีเอกภาพ" หรือ "ตรีเอกานุภาพ" (Trnity) คือ พระบิดา, พระบุตร และพระจิต (พระวิญญาณบริสุทธิ์) มีพระคัมภีร์คือพระคริสตธรรมคัมภีร์ หรือ คัมภีร์ไบเบิล (The Bible)
ศาสนาคริสต์มีผู้นับถือทั้งหมดประมาณ 2,500 ล้านคน ถือว่าเป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือมากที่สุดในโลกศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากศาสนายูดาย(หรือศาสนายิว) โดยมีเนื้อหาและความเชื่อบางส่วนเหมือนกัน โดยเฉพาะคัมภีไบเบิลฮีบรู ที่คริสตศาสนิกชนรู้จักในชื่อ พันธสัญญาเดิม (The Old Testament) โดยพระคริสตธรรมคัมภีร์ 5 เล่มแรก
จากทั้งหมด 46 เล่มในภาคพันธสัญญาเดิม ที่เรียกว่า เบญจบรรณ/ปัญจบรรพ (Pentateuch) ได้รับการนับถือเป็นพระคัมภีร์ของศาสนายูดาย และศาสนาอิสลามด้วยเช่นกัน ในพันธสัญญาเดิมหลายตอนได้พยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ (Messiah) ที่ชาวคริสต์เชื่อว่า คือ พระเยซู เช่น หนังสือประกาศกอิสยาห์ บทที่ 53 เป็นต้น
THE GRAMMAR OF HAPPINESS
God is a God onaresent. God is always inamoment, be that moment hard or easy, joyful and painful. - Henri Neuuwen -
รักคืออะไร เช็คสเปียร์เปรียบเปรยว่าความรักเป็นดั่งดวงดาว เช่นเดียวกับกวีและนักเขียนหลายพันคนที่ใช้สัญลักษณ์แทนความรู้สึกที่ลึกซึ้ง พวกเขากล่าวว่า ความรักคือการเดินทาง ความรักดุจดังดอกกุหลาบ ความรักคือเปลวเพลิงร้อนแรง ความรักดั่งแสงสว่าง ความรักคือนกน้อย ความรักคือสงคราม ความรักเป็นเช่นโรค ความรักคือการเสพติด ความรักก็คือเกม รายการอุปมาอุปมัย ความรักดำเนินไปเรื่อยๆ การพูดถึงสิ่งซึ่งเป็นนามธรรม เช่น ความรักนี้เป็นความสามารถพิเศษของมนุษย์ในทุกภาษาของโลก แต่ไม่ใช่สำหรับภาษาของชาว Piraha แห่ง
บราชิล
ยอห์น เป็นบุตรของท่านสมณะเศคาริยาห์ และนางเอลีซาเบธ
เทวดากาเบรียลได้ประจักษ์มาหาท่านเศคาลียาห์ขณะอยู่ในพระวิหารและแจ้งให้ทราบล่วงหน้าถึงการเกิดของยอห์น (ลก. 1 : 1-25)
เมื่อยอห์นเติบโตขึ้นก็ได้ไปจำศีลภาวนาอยู่ในทะเลทราย ไม่ดื่มสุราเมรัย รับประทานตั๊กแตนและนํ้าผึ้งเท่านั้นเป็นอาหาร จาริกสั่งสอนประชาชนทั่วไปที่แม่นํ้าจอร์แดน (มก. 1 : 4-8)
ยอห์นประกาศว่า " ท่านทั้งหลาย จงใช้โทษบาปและกลับใจเถิด เหตุว่า พระราชัยสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว ข้าพเจ้าเป็นเสียงร้องในที่เปลี่ยว จงเตรียมทางให้ตรงเพื่อรับเสด็จพระคริสตเจ้า" ประชาชนจำนวนมากได้รับศีลนํ้าชำระบาปจากยอห์น (มธ. 3 : 1-6)
เรื่องเล่ามีอยู่ว่า ในตรอกซอยแห่งหนึ่งที่มีแต่ความมืดและคับแคบ ไม่มีแสงไฟส่องทาง แต่ก็ยังมีคนใช้สัญจรอยู่เป็นประจำ เพราะเป็นทางลัดที่ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง และในคืนหนึ่งมีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามาในซอยเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ซึ่งในซอยที่มืดมากเช่นนี้ แม้กระทั่งนิ้วมือทั้งห้า ยังไม่อาจมองเห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก
ในเวลานั้นเอง มีชายผู้หนึ่งถือโคมไฟ เดินเข้ามายังในซอย ทำให้ในซอยนั้นเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร พระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางพูดขึ้นมาว่า "คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย"
เมื่อพระรูปนั้นได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั่งคนตาบอดคนนั้นถือโคมไฟเดินผ่านมา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
"ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ"
ชายผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้า สาย บ่าย เย็น ล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร"