จงลี้ภัยในพระมารดามารีย์ เหตุว่าพระนางคือนครแห่งผู้ลี้ภัย เราทราบว่าโมเสสได้ตั้งนครขึ้นสามนคร เพื่อให้เป็นที่ลี้ภัยของผู้ใดก็ตามที่ฆ่าเพื่อนบ้านโดยมิได้ตั้งใจ พระนางมารีย์คือสถานที่ลี้ภัยและพลังของคนบาป
เราไม่อาจคิดถึงแม่พระโดยที่แม่พระมิได้คิดถึงพระเจ้าแทนเราได้ และเราก็ไม่สามารถสรรเสริญถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยไม่คิดถึงแม่พระผู้ถวายเกียรติและสรรเสริญพระเจ้า
พระนางมารีย์เป็นมารดาและผู้แจกจ่ายพระหรรษทาน คงไม่มีผู้รับใช้คนใดของพระมารดาผู้นี้ที่จะไม่ประกาศว่า ความศรัทธาที่ข้าพเจ้ามีต่อแม่พระนั่นเองที่ช่วยให้คุณความดีในตัวข้าพเจ้าเติบโตขึ้น
พระมารดามุ่งสิ่งที่แม่ทุกคนทุ่มเทให้แก่ลูกของตนมายังเราแต่ละคน พระนางทรงรักเรา ดูแลเราปกป้องคุ้มครองเรา และอธิษฐานภาวนาเพื่อเรา
ผู้ที่ปรารถนาปกป้องดวงใจของตนมิให้ถูกความชั่วรบกวน ควรฝากดวงใจไว้กับพระนางมารีย์พระมารดาของเรา แล้วเขาจะได้ดวงใจนั้นกลับคืนมาในสวรรค์ เป็นดวงใจที่ปราศจากความชั่วใดๆ ทั้งสิ้น
พระบิดาสร้างโลกไว้ให้ปราโมทย์พระบิดาความรุ่งโรจน์ลูกทั้งหลาย
พระบิดาสร้างสันติมิเสื่อมคลายพระบิดาประทานมากมายบริบูรณ์
พระบิดาองค์ความดีไร้ขอบเขตพระบิดาองค์ต้นเหตุมิเสื่อมสูญ
พระบิดาบอกกำเนิดเกิดมวลมูลพระบิดาทรงจำรูญด้วยมงคล
พระบิดาทรงปกป้องคุ้มครองข้าพระบิดาองค์ความหวังพลังผล
พระบิดาชัยชาญบันดาลดลพระบิดาคริสตชนก้มกราบกราน
มก.14 : 22 -24
“ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารอยู่นั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ตรัสถวายพระพร ทรงบิขนมปัง ประทานให้เขาเหล่านั้น ตรัสว่า “จงรับเถิด นี่เป็นกายของเรา” แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ตรัสขอบพระคุณ ประทานให้เขาและทุกคนดื่มจากถ้วยนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นโลหิตของเรา โลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อคนจำนวนมาก”
ภาพวาดบนบานประตูโบสถ์แห่งหนึ่งในประเทศเยอรมันได้ถูกออกแบบอย่างงดงามศิลปินได้วาดภาพ 4 ภาพบนบานประตูนั้นอันแสดงออกซึ่งสัญลักษณ์อันลึกซึ้ง
ภาพแรกคือภาพตุ่มน้ำ 6 ใบซึ่งหมายถึงอัศจรรย์การเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลี (ยน 2:1-12) ภาพที่สองคือภาพขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวอันหมายถึงอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงทวีอาหารเลี้ยงประชาชนกว่า 5,000 คน (มธ.14:13-21) ภาพที่สามคือภาพคน 13 คนกำลังนั่งรับประทานอาหารซึ่งก็คือภาพอาหารค่ำมื้อสุดท้ายก่อนที่พระเยซูเจ้าจะสิ้นพระชนม์ (มก.14:22-26) และภาพที่สี่คือภาพคน 3 คนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารนั่นคือศิษย์สองคนที่เดินทางไปเอมมาอุสและได้พบกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพและได้รับประทานอาหารกับพระองค์ (ลก. 24:13-35)
การภาวนาเป็นการเปิดประตูดวงใจแห่งสติปัญญา ด้วยความเชื่อและความศรัทธาวางใจในการติดต่อสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นองค์แห่งสันติความสงบร่มเย็น องค์แห่งความดี ความรัก และความบริสุทธิ์แห่งจิตวิญญาณ ดังนั้นการภาวนา จึงเรียกร้องเราให้มีความสงบ รู้จักปล่อยวางจากหาความห่วงกังวล ความกระวนกระวายใจและมอบความวางใจในพระองค์ ผู้ทรงเป็นบิดาผู้ใจดีและรักเราเสมอ พร้อมที่จะรับฟังและช่วยเหลือเรา เพื่อให้เราสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราได้ในแต่ละขณะของชีวิต การภาวนา จึงเป็นการแสดงออกถึงความต้องการในจิตใจของเราและเป็นน้ำใจอิสระของเราที่จะได้ปฏิบัติแสดงออกมาด้วยการ “สรรเสริญ ขอบพระคุณพระเจ้า” สำหรับสิ่งต่างๆที่ได้ประทานให้แก่เรา และ “ขอโทษพระองค์” สำหรับความผิดพลาด อ่อนแอ ที่ไม่ได้ยึดมั่นในความดีและความถูกต้องของชีวิต ที่เราควรจะได้ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระ ไม่ใช่ตามใจของเราเองเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการ “วอนขอ” พระพรและการช่วยเหลือจากพระ เพื่อให้เราได้สามารถดำเนินชีวิตในหนทางที่ปลอดภัยรอดพ้นจากภยันตรายและสิ่งชั่วร้ายต่างๆในชีวิตของเราด้วย