• เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน ลูกจ้าง ที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงแกะ และไม่เป็นเจ้าของแกะ เมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามา ก็ละทิ้งบรรดาแกะและหนีไป สุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูงแกะก็กระจัดกระจายไป ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้าง ไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา พระบิดาทรงรู้จักเราฉันใด เราก็รู้จักพระบิดาฉันนั้น เรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา เรายังมีแกะอื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้ เราต้องนำ หน้าแกะเหล่านี้ด้วย แกะจะฟังเสียงของเรา จะมีแกะเพียงฝูงเดียว และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว พระบิดาทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้ แต่เราเองสมัครใจ สละชีวิตนั้น เรามีอำนาจที่จะสละชีวิตของเรา และมีอำนาจที่จะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก นี่คือพระบัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา
(ยอห์น 10:11-18)
คืนหนึ่งชายคนหนึ่งฝันว่า เขาเดินไปตามชายหาดกลับพระเยซูเจ้า เขารู้สึกว่ามีความสุข มีกำลังใจ รอยเท้าที่ปรากฏบนผืนทรายนั้นมี 2 คู่ เดินเคียงกันไป… แต่แล้วต่อมา เมื่อเขาเหลียวหลังกลับไปมอง เขากลับเห็นรอยเท้านั้นเหลือเพียงคู่เดียว ชายคนนั้นจำได้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่เขามีความทุกข์ใจอย่างมาก เขาจึงร้องถามพระเยซูว่า "ทำไมพระองค์ถึงปล่อยให้ฉันเดินเพียงลำพัง พระองค์ไปอยู่ที่ไหนในช่วงเวลาวิกฤตของชีวิตฉัน?" พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า "เราไม่เคยห่างไกลจากเจ้าเลย โดยเฉพาะเวลาแห่งความทุกข์ของเจ้านั้น เราอยู่ใกล้ชิดเจ้ามากที่สุด รอยเท้าที่เจ้าเห็นเพียงคู่เดียวนั้น เป็นรอยเท้าของเราเอง เรากำลังอุ้มเจ้าอยู่"
ในยามที่เราพบกับความยากลำบากในชีวิต เราอาจรู้สึกว่าเราเดินไปตามลำพังโดยไม่มีใครเหลียวแล แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ลองคิดทบทวนจากชีวิตที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น เราผ่านมาได้เพราะพระเจ้าทรงช่วยเหลือ พระองค์ทรงอุ้มเราอยู่ในอ้อมแขนของพระองค์
พระวาจาของพระเจ้ายืนยันกับเราอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระเยซูเจ้าเกิดในแผ่นดินปาเลสไตน์ พระองค์จึงหยิบยกเรื่องราวใกล้ตัวมาใช้เป็นตัวอย่างประกอบ เพื่ออธิบายถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ นั่นคือ พระองค์ใช้ภาพของผู้เลี้ยงแกะที่ดี เอาใจใส่ดูแลฝูงแกะอย่างใกล้ชิด ผู้เลี้ยงแกะที่ดีมีคุณสมบัติประการหนึ่ง คือ เขาจะจำแกะทุกตัวได้ เขารู้จักแกะแต่ละตัวและเรียกชื่อมันได้ เขาจะตั้งชื่อแกะแต่ละตัวตามลักษณะที่มันเป็น หรือตามความรู้สึกที่เขามีต่อแกะตัวนั้นๆ เช่น เจ้าจุด เจ้าด่าง เจ้าหน้าจืด เจ้าขนสวย ฯลฯ
นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงแกะที่ดียังจะต้องมีความผูกพันกับฝูงแกะของเขา ในยามที่ต้องต้อนฝูงแกะของเขา ในยามที่ต้องต้อนฝูงแกะออกหากินตามทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนัก ผู้เลี้ยงแกะที่เก่งจะรู้ว่าสถานที่ใดมีทุ่งหญ้าเขียวอุดม ซึ่งเขาจะพาฝูงแกะของเขาไปที่นั่น แกะในฝูงจึงได้รับอาหารบำรุงเลี้ยงชีวิตเพราะผู้เลี้ยงเอาใจใส่ พยายามแสวงหาแหล่งอาหาร และที่สุด ในขณะที่มีอันตรายจากสุนัขป่าหรือโจรผู้ร้ายก็ตาม ผู้เลี้ยงแกะที่ดีจะยอมพลีชีวิตของตนเพื่อปกป้องฝูงแกะของเขา
พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี พระองค์ทรงรู้จักเราซึ่งเป็นแกะในฝูงของพระองค์ และทรงพาเราไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจี ดังเพลงสดุดีที่ 23 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงพาข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียว…” ความจริงเพลงสดุดีบทนี้กล่าวถึงพระเจ้าพระบิดาโดยตรงผู้ทรงเลี้ยงดูเรา แต่บ่อยครั้งเราก็อดคิดถึงพระเยซูเจ้าไม่ได้เมื่อได้อ่านสดุดีบทนี้ นี่ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า “ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น” พระบิดาเจ้าทรงพระทัยดีเท่าใด พระเยซูเจ้าก็ทรงน่ารักเท่านั้น
พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ทรงพลีชีวิตของพระองค์เองปกป้องมนุษย์ทุกคนจากบาปและความตาย ผู้เลี้ยงแกะคนอื่นๆ ถ้าหากไม่สามารถเอาชนะโจรผู้ร้ายหรือสุนัขป่าดุร้ายได้ เขาก็ไม่สามารถปกป้องฝูงแกะได้ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือบาปและความตาย โดยการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระองค์เอง พระองค์จึงสามารถนำความรอดพ้นมาสู่เราทุกคนได้
ส่วนธรรมชาติของแกะก็คือ มันจะสามารถจำเสียงของผู้เลี้ยงได้ มันจะไม่ฟังเสียงของคนอื่น มันจะไม่ตามคนแปลกหน้า เป็นคำถามที่น่าคิดสำหรับเราว่าเราจำพระองค์ได้หรือไม่? ทุกครั้งที่เราขอพรจากพระเราขออะไร ขอเพลงเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ในชีวิตที่เราต้องการเท่านั้นหรือ? หรือเราขอพรพระเพื่อเราจะมีความเชื่อมากขึ้น เพื่อเราจะได้จำเสียงพระองค์ได้ในทุกสถานการณ์ของชีวิต?
มีคำกล่าวว่า “อย่าทิ้งเพื่อนเก่า เราจะหาเพื่อนเก่าแบบนี้มาแทนอีกไม่ได้” พระเยซูเจ้าทรงเป็นมากกว่าเพื่อนเก่า นั่นคือ พระองค์ทรงเป็นเพื่อนแท้สำหรับเรา พระองค์ทรงโอบอุ้มคุ้มครองชีวิตของเราเสมอ ขอให้เราจงเป็นแกะที่ดีในฝูงของพระองค์เสมอเถิด จำเสียงของพระให้ได้ เสียงของพระองค์ผ่านมาทางพระวาจาที่เราฟัง ยามที่เราคุกเข่าลงสวดภาวนา เวลาที่เราสนทนากับคนที่เรารัก หรือแม้บางครั้งอาจผ่านมาเมื่อเราต้องฟังคนที่เราไม่ค่อยชอบ บางทีคำพูดของเขาอาจสะกิดใจเราได้เช่นกัน
(ที่มา : ปลัดนุ, ขุมทรัพย์ในภาชนะดินเผา, หน้า 15 – 17)