การนำตัวเราเองเผชิญหน้าพบพระเจ้า ก็คือ การภาวนาของมนุษย์นั่นเอง การภาวนาเมื่อเทียบเป็นกิจการหนึ่งของมนุษย์ ก็คือการนำตัวเราอยู่ต่อหน้าการประทับอยู่ของพระเจ้าในตัวเราเอง เพื่อว่าเราเองจะสามารถเห็นการประทับอยู่ของพระองค์ในทุกคน และในทุกสิ่งรอบๆตัวเรา
เพื่อที่จะภาวนาได้ เราจะต้องออกแรงเช่นกันที่จะสำรวมตน ตั้งจิตสำนึกตนทั้งด้านกายภาพ ความรู้สึก จินตนาการ ปรีชาญาณ อำเภอใจ ความต้องการ มิติเวลา สถานที่และสิ่งแวดล้อม เพื่อว่าตัวเราเองจะสามารถอยู่ตรงนี้ ที่นี่ เวลานี้จริง ต่อหน้าพระเจ้าในการพบปะกับพระองค์ด้วยความรักเป็นการส่วนตัว
อุปสรรค (ของการภาวนา) ก็คือการแสวงหาพระเจ้าเพื่อตัวเราเอง แทนที่จะภาวนาเพราะความรักต่อพระเจ้า แทนที่จะต้อนรับการประทับอยู่ของพระเจ้าในตัวเรา เรากลับปฏิบัติตัวกับพระองค์อย่างกับว่าพระองค์เป็นสิ่งของชนิดหนึ่งที่เราขวนขวายเพื่อสนองความอยาก ความต้องการของเรา
คำภาวนา/การภาวนา ต้องเป็นการเปิดใจ เป็นการฟัง เป็นความเชื่อ เป็นการต้อนรับและเป็นการมอบตัวเองทั้งครบต่อพระองค์ คำภาวนา/การภาวนา นำเราจากการตั้งตัวเราเป็นศูนย์กลางของความอยากได้ต่างๆ ไปสู่ความรักผู้อื่น
- องค์ประกอบของการภาวนาที่ดี ไม่ใช่เป็นการบรรเทาใจ การปลอบใจที่เรารู้สึกในใจ แต่เป็นการดำเนินชีวิตที่เปี่ยมด้วยความรักที่ก่อขึ้นแม้ท่ามกลางความแห้งแล้งของคำภาวนาของเรา
เมื่อเรามีความรู้สึกดูเหมือนว่าเรากำลังวุ่นวายใจ ใจเหม่อลอยไปที่อื่น และแทบจะไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่ต่อหน้าพระเจ้า แม้อาจจะมีคำภาวนาเพียงคำสองคำหลุดออกจากปากของเราก็ตาม เราก็ยังมีความหวัง ความปรารถนา แสวงหา โดยการนำของพระจิตเจ้า ซึ่งจะเสริมพลัง อำนาจ และกำลัง ที่จะรับใช้พระเจ้าและเพื่อนบ้านเต็มกำลังความสามารถ โดยไม่คำนึงถึงว่าตัวเราเองจะลำบากเพียงใดก็ตาม
- คำภาวนา / การภาวนา ไม่ใช่เป็นความพยายามที่จะเดินทางไปหาพระเจ้า แต่เป็นการเปิดตาของเราที่จะเห็นว่าเราอยู่ตรงนั้นแล้วกับพระองค์
ความดีงามที่เราวอนขอในคำภาวนาของเรา ไม่ใช่ความพึงพอใจเป็นการส่วนตัวของการภาวนาที่ได้ผลตามความคิดส่วนตัวของเรา แต่เป็นการปลูกฝังทัศนคติแห่งการมอบอุทิศตัวเองทั้งครบ ต่อพระเจ้าในทุกรายละเอียดของชีวิตประจำวันของเรา
- กิจการงานไม่ควรทำให้การภาวาของเราสะดุดหยุดลง เพราะถ้าจะถือว่าการทำงานของเราเป็นวิธีการภาวนาเพียงรูปแบบเดียวของเราแล้ว การทำงานนั้นจะไม่ใช่เป็นการภาวนา และนั่นจะนำเราหักเหออกจากจุดศูนย์กลาง (พระเจ้า) เมื่อเราปั่นเครื่องซักผ้า เราคงเคยได้ยินเสียงเครื่องเดินผิดปกติ และเราจะไม่ได้ยินเสียงเยี่ยงนี้ในชีวิตของเราเองด้วยหรือ? เมื่อเราได้ยินเสียงผิดปกตินี้แล้ว เราก็รู้ว่าเราควรหยุดและเสริมชีวิตจิตของเราให้เต็มใหม่ มันอาจจะเป็นเวลาที่ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากภาวนา เป็นเวลาที่เราต้องพักซ่อมแซมเติมกำลังเพื่อตั้งศูนย์ใหม่ (re – align) เพื่อเริ่มต้นใหม่จากหัวใจ และกิจการ การทำงานของเราก็จะเป็นการภาวนาไปในตัวด้วย เป็นการพิ ศเพ่งรำพึงถึงพระเยซูคริสต์ในการกระทำ / การทำงานของเราไปในตัว
- ถ้าข้าพเจ้าพบพระเจ้า ข้าพเจ้าก็จะพบตัวข้าพเจ้าเองด้วย และเมื่อข้าพเจ้าพบตัวตนที่แท้จริงของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็จะพบพระเจ้า และบุคคลผู้เดียวที่สามารถสอนข้าพเจ้าให้พบพระเจ้า ก็คือพระองค์เอง เพราะฉะนั้นจงภาวนาเพื่อการค้นพบตัวเราเอง
- เมื่อการภาวนาหมายถึงการพบปะส่วนตัวด้านความรักกับพระเจ้าผู้ที่ซื่อสัตย์นิรันดร เราจึงต้องพยายามสำนึกตนว่าเราอยู่ต่อหน้าพระองค์ทุกชั่วขณะของชีวิตของเรา นั่นคือ การรำลึกถึงประสบการณ์ชีวิตความเชื่อแห่งพระจิตของพระคริสต์ ณ ห้วงลึกของจิตใจของเรา ณ ที่นั้น พระเจ้ากำลังสัมผัสชีวิตของเรา และนี่คือความหมายของการภาวนาของมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะใด วิธีไหนก็ตาม องค์ประกอบที่จะช่วยตัดสินว่าวิธีใดที่เหมาะสมกับเรา ก็คือคำถามง่ายๆว่า วิธีนี้ใช้ได้กับเราไหม? วิธีนี้ในขณะนี้นำเราอยู่ต่อหน้าพระเจ้าไหม? วิธีนี้จะสามารถนำเราให้ดำเนินชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักต่อพระเจ้า ต่อคนอื่น และกับตัวเราเองไหม? การภาวนาวิธีนี้เป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูรู้คุณ ขอบพระคุณ ความสำนึกถึงความผิด ความทุกข์เสียใจที่ทำบาป สำนึกถึงจิตเมตตาและความปรารถนาพระเจ้าไหม? วิธีการภาวนาเช่นนี้นำเราลึกซึ้งยิ่งขึ้นในการภาวนาไหม?
- ในบรรดาวิธีการภาวนาต่างๆ ของคริสชนนั้น ไม่มีวิธีใดที่เป็นศูนย์กลางจิตภาวนามากไปกว่าการพิศเพ่ง รำพึง ถึงชีวิตของพระเยซูคริสต์ตามคำบันทึกพระวาจาในพระวรสาร การภาวนาแบบพิศเพ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ( Comtemplation) นี้ มีหลายแบบนับแต่วิธีรำพึงที่ลึกซึ้ง ลุ่มลึก การรำพึงพระวาจา พระคัมภีร์ จนถึงการสำนึกการประทับอยู่ของพระเยซูในเหตุการณ์ของชีวิตประจำวัน ข้อบ่งชี้ที่ว่า วิธีที่ได้ผลสำหรับเรา ก็คือ การภาวนาที่ฟื้นฟูชีวิตของเราทั้งชีวิตกาย และ ชีวิตจิตให้ใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์มากขึ้นในชีวิตประจำวัน และในความรักต่อผู้อื่น
-การภาวนาก็คือ การยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ด้วยสติปัญญาอยู่ในหัวใจ (with the mind in the heart)
- ความรักและการภาวนา แสวงหาวิธี รูปแบบ จินตนาการ ที่เปลี่ยนแปลง ฟื้นฟู ความจำเจประจำวัน และทำให้มันมีชีวิตชีวา
- การภาวนา/ คำภาวนาของเรา ควรนำเราสู่จุดสงบนิ่ง (still point) ในการเป็นอยู่ (our being) ในรากเหง้าของความเป็นตัวตน (root of existence) ในความสำนึกความเป็นตัวของตัวเอง (individuality) ของเรา ณ ที่ที่เราถูกสัมผัสโดยพระเจ้า และ ณ ที่ที่เราตอบรับในความนิ่งเงียบ ในความมืดมนของชีวิตว่า “พระเจ้าเป็นพระเจ้า” (God is God)
ณ ที่ที่เราพึ่งพาพระเจ้า เราก็จะพบพระองค์ :
ณ ที่พระองค์ไม่ปรากฏตัว
ณ ความว่างเปล่าที่ถูกเติมเต็มด้วยพระองค์
ณ ที่ที่เรารู้ – ไม่ใช่ รู้ “ความรู้” แต่ รู้ “ความรัก” ของพระองค์
สมกับบทสดุดีที่ว่า “จงสงบนิ่ง และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้าของเจ้า” (สดุดี 46:10)
“จงลงไปในห้วงลึกสุดของชีวิตของเจ้า
ของความเป็นอยู่ (being) ของความเป็นตัวตน (existence) ของเจ้า
จนถึงจุดที่เจ้าจะกลับลุกขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา
ด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตของเรา (พระเจ้า)
และ ณ ที่นั่น เจ้าก็จะพบเรา (พระเจ้า)”
- ณ ที่นี้ การประทับอยู่ของพระเจ้า จะเป็นการบุกเข้ามาในชีวิตของเรา ทลายกำแพงแห่งความเห็นแก่ตัว การรักตัวเองที่ดึงถ่วงการพบปะของเรากับพระเจ้า เราจึงเริ่มเห็นว่า กำแพงนี่เองที่เป็นตัวถ่วงให้เรารักคนอื่นอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงมีพระบัญชากับเรา และเป็นตัวกำบังไม่ให้เราได้ยิน ไม่ให้เราตอบสนองพระวาจาของพระเจ้าในทุกเหตุการณ์ของชีวิตของเรา
- ในการภาวนา เราได้รับแสงสว่างจากพระจิตแห่งพระเยซูคริสต์ผู้ทรงกลับเป็นขึ้นมา ผู้ซึ่งฉายความสว่างให้แก่ประสบการณ์ชีวิตของเรา และในที่สุดนำเราค้นพบพระเจ้าในทุกสิ่งทุกเหตุการณ์
- บ่อยครั้งในการภาวนาของเรา เราพบพระเจ้าก็เพราะพระองค์ทรงบุกเข้ามาในชีวิตของเรา และขณะนั้น เราไม่จำเป็นต้องพูด ต้องภาวนา เพราะทุกสิ่งจะถูกเผยด้วยความรักในความรัก เราเพียงแต่มอบตัวเราเอง ยอมจำนนต่อพระองค์ท่ามกลางพระพรที่พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงเรา แต่นี่ไม่ใช่การภาวนาแบบไม่ได้ทำอะไร (prayer of inaction) ตรงกันข้ามเรากลับรู้สึกว่า เราเต็มเปี่ยมด้วยชีวิต กระชุ่มกระชวยขึ้น สำหรับบางคนนี่เป็นรูปแบบการภาวนาประจำจนติดเป็นนิสัยของเขา แต่สำหรับบางคน ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นไม่ค่อยบ่อยนัก
ในการภาวนาของเรา เราควรฟังพระเจ้า พร้อมที่จะต้อนรับพระองค์ อย่างเช่นที่พระองค์ต้อนรับเราด้วยพระพรแห่งจิตสำนึก หรือความชื่นชมยินดีที่นำเราพบปะพระองค์
- ชีวิตแห่งการภาวนาส่ำเสมอจะดึงดูดเราให้สำนึกอย่างลึกซึ้งว่าเราอยู่ต่อหน้าพระเจ้า จนกระทั่งเราไวต่อประสบการณ์การพบปะพระองค์แม้ในเหตุการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยนำเราให้เห็นพระองค์ได้ทันที และเมื่อนั้นแหละ ที่เราจะอยู่ในสถานภาพแห่งการภาวนาตลอดเวลา ถึงแม้ว่าความตั้งใจความสำนึกตนอาจจะล่องลอยไปที่อื่น สถานภาพนี้อาจารย์ด้านคำภาวนาเรียกว่า “การค้นหาพระเจ้าในทุกสิ่ง”
- พระเจ้าทรงเรียกเราเสมอ ทรงตรัสกับเราในทุกเหตุการณ์ของชีวิตประจำวัน พระเจ้ามาหาเราในทุกเหตุการณ์ที่เราเผชิญอยู่ : ในการงานของเรา ในการละเล่น ในบุคคลที่เราพบปะ ในหน้าที่รับผิดชอบ เหตุการณ์ประจำวันเหล่านี้เป็นคำเชื้อเชิญพระเจ้ามาอยู่กับเราที่นี่ และเดี๋ยวนี้ และเป็นการยอมให้พระเจ้าท้าทายเราให้ดำเนินชีวิตคริสตชนให้ครบบริบูรณ์
- เราไม่ได้ถูกขอร้องให้เลือกระหว่างพระเจ้ากับโลก แต่ให้ค้นหาพระเจ้าในโลก และเผยพระองค์ต่อโลก
(บทความเรื่อง การภาวนา/คำภาวนา/ วิธีภาวนา โดย ราฟาแอล, ตีพิมพ์ลงในหนังสือ 2010 น้ำทิพย์ เชิญจิบ, ตีพิมพ์ในปี 2009, หน้า 135 – 140)