ก่อนหน้า ค.ศ.1566 พระสันตะปาปาทรงฉลองพระองค์สีแดงมาตลอดเป็นเวลาหลายร้อยปี ภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็นสีขาว เพราะเหตุใด เรื่องนี้ บาทหลวง อลัน เอฟ เดทเชอร์ (Alan F Detscher) เลขาพิธีกรรมได้อธิบายว่า
“นักบวชที่ได้รับการสถาปนาให้เป็นพระสังฆราชจะใส่ชุดสีเดียวกันกับชุดของคณะนักบวชที่ตนสังกัด สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 5 (Pius V 1566 – 1572) ซึ่งอยู่ในคณะโดมินิกัน ก็ทรงปฏิบัติเช่นเดียวกัน คือทรงฉลองพระองค์สีขาว เหมือนนักบวชโดมินิกันคนอื่นๆ แม้จะได้ครองตำแหน่งพระสันตะปาปาแล้วก็ตาม หลังจากนั้นพระสันตะปาปาองค์ต่อๆมา ก็ทรงฉลองพระองค์สีขาวตามอย่างสมเด็จพระสันตะปาปาปีอุสที่ 5”
ทำไมพระสันตะปาปาจึงทรงสวมหมวกเล็กสีขาว และบางครั้งทรงสวมหมวกสูง
แม้สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 5 เป็นที่มาของการฉลองพระองค์สีขาว แต่พระองค์ไม่ใช่ผู้ริเริ่มในการสวมหมวกเล็ก หรือชื่อที่ถูกคือ ซูเชตโต (zucchetto เป็นหมวกแนบพอดีศีรษะ ไม่มีปีก ครอบกลางศีรษะ สีของหมวกใช้ตามสมณศักดิ์ของผู้สวม) หมวกแบบนี้ใช้กันมาอย่างน้อยตั้งแต่ศตวรรษที่ 13
ในช่วงยุคกลาง เมื่อบุคคลหนึ่งตัดสินใจเข้าสู่สมณเพศและถือพรหมจรรย์ จะถูกโกนผมตรงกลางกระหม่อมออกหย่อมหนึ่ง เรียกว่าการปลงผม จุดประสงค์ของการใส่ซูเซตโตคือเพื่อปกคลุม “บริเวณที่ผมถูกโกนออกไป” เพื่อให้ความอบอุ่นในยามที่อากาศแห้งและหนาวเย็น การปลงผมสำหรับผู้ถือบวชถูกยกเลิกไป ภายหลังการประชุมสังคายนาวาติกัน ครั้งที่ 2 แต่หมวกเล็กก็ยังใช้สวมกันอยู่
สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ทรงออกสมณสาส์นในปี ค.ศ.1968 กำหนดให้เฉพาะพระระดับสูงเท่านั้นที่สวมหมวกเล็กได้ สีของหมวกเล็กสีขาวบอกชั้นตำแหน่งของสมณะ
สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 5 ทรงเลือกสวมหมวกสีขาว เพื่อแสดงความเลื่อมใสในคณะนักบวชโดมินิกันที่ทรงสังกัดมาแต่เดิม สำหรับพระคาร์ดินัลสวมหมวกเล็กสีแดง และพระสังฆราชประจำสังฆมณฑลสวมหมวกเล็กสีม่วงแดง
หมวกมิตร์ หรือหมวกสูงยอดแหลม ที่พระสันตะปาปาทรงสวมระหว่างประกอบพิธีนั้น มีมาเนิ่นนานกว่าหมวกเล็ก คือใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 โดยไม่ว่าจะเป็นพระสันตะปาปา พระคาร์ดินัล หรือพระสังฆราชก็สามารถใส่ได้ทั้งนั้น แตเดิมลักษณะของหมวกสูงนั้น เป็นทรงกรวยยอดแหลมสองยอดแยกกัน แต่พับให้ติดกันได้ ต่อมาหมวกสูงถูกดัดแปลงรูปแบบไปมาก จนแทบไม่เหลือเค้าเดิมของหมวกทรงกรวยสูง ปัจจุบันมียอดแหลมยอดเดียวและแบบเรียบๆธรรมดา
(ที่มา : นิตยสารแม่พระยุคใหม่, ฉบับที่ 214, ปีที่ 36 เดือน กรกฎาคม – สิงหาคม 2017/2560, หน้า 25-26)