1. ชีวิตอยู่ในพระองค์ และชีวิตเป็นแสงสว่างสำหรับมนุษย์ แสงสว่างส่องในความมืด และความมืดกลืนแสงสว่างนั้นไม่ได้ พระเจ้าส่งชายผู้หนึ่งมา เขาชื่อ... (ยอห์น 1: 4-6)
2. เมื่อมีใครเชิญท่านไปในงานมงคลสมรส... จงไปนั่งในที่สุดท้ายเถิด เพื่อเจ้าภาพที่เชิญท่านจะมาบอกว่า “เพื่อนเอ๋ย จงไปนั่งในที่ที่ดีกว่านี้เถิด” แล้วท่านจะได้รับเกียรติต่อหน้าผู้ร่วมโต๊ะทั้งหลาย เพราะทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น(ลูกา 14:8, 10-11)
3. ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่า พี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น (มัทธิว 5: 23 – 24)
4. การบริจาคมิได้มีจุดมุ่งหมายให้ท่านต้องยากจนลงในการช่วยเหลือผู้อื่น แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความเสมอภาคกัน ในยามที่ท่านมีความบริบูรณ์เช่นเวลานี้ ท่านควรช่วยเหลือผู้อื่นที่ขัดสน เช่นเดียวกัน ในยามที่เขามีความบริบูรณ์เขาจะช่วยเหลือเมื่อท่านขัดสนด้วย จึงจะมีความเท่าเทียมกันดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ผู้ที่เก็บได้มากไม่มีสิ่งใดเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่เก็บได้น้อยก็ไม่มีสิ่งใดขาดแคลน” (2 โครินทร์ 8: 13 – 15)
5. ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ดี ผลก็ย่อมดีด้วย ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ไม่ดี ผลย่อมไม่ดีด้วย ท่านรู้จักต้นไม้จากผลของมัน... ปากย่อมพูดสิ่งที่ท่วมท้นอยู่ในใจ คนดีย่อมนำสิ่งดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีของตน ส่วนคนเลวย่อมนำสิ่งเลวออกจากขุมทรัพย์ที่เลวของตน เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรายงานถึงคำพูดไร้สาระทุกคำที่เขาเคยพูด เพราะท่านจะพ้นโทษหรือถูกลงโทษก็จากคำพูดของท่าน (มัทธิว 12: 33 – 37)
6. ใครจะพรากเราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้ ความทุกข์ลำเค็ญหรือ ความคับแค้นใจหรือ การเบียดเบียนข่มเหงหรือ การขาดอาหารและเครื่องนุ่งห่มหรือ ภยันตรายและคมดาบหรือ...
... แต่ในการทดลองทั้งหมดนี้ เราชนะได้ง่ายอาศัยพระผู้ทรงรักเรา เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต ไม่ว่าฤทธิ์อำนาจใดหรือความสูง ความลึก ไม่มีสรรพสิ่งใดๆจะพรากเราได้จากความรักของพระเจ้า ซึ่งปรากฏในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (โรม 8: 35, 37 – 39)
7. ยังมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมายที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น (ยอห์น 21: 25)
8. “เราให้บัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา” (ยอห์น 13: 34 – 35)
9. ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข...
ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข ...
ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข...
ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข... (มัทธิว 5: 5 – 9)
10. “เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป” (มัทธิว 5: 17 – 18)
11. เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ผู้ใดถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆคนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ (มัทธิว 18: 3 – 4)
12. นักกีฬาทุกคนที่เข้าแข่งขัน ย่อมบังคับตนเองอย่างเคร่งครัดเพื่อจะได้รับมงกุฎใบไม้ที่ร่วงโรยได้ แต่เราทำเช่นนี้เพื่อจะได้รับมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรย ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งแข่งอย่างมีจุดหมาย ข้าพเจ้ามิได้ชกอย่างคนชกลม แต่ข้าพเจ้าเคร่งครัดต่อร่างกาย เพื่อบังคับให้ร่างกายอยู่ใต้อำนาจของข้าพเจ้า ด้วยเกรงว่าหลังจากที่ได้เทศน์สอนคนอื่นแล้ว ข้าพเจ้าอาจถูกตัดสิทธิ์เพราะผิดกติกา ( 1 โครินทร์ 9: 25 – 27)
13. จงร่วมใจกันขับร้องเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
จงขับร้องสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตใจ
จงขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาอยู่เสมอสำหรับทุกสิ่ง
เดชะพระนามของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (เอเฟซัส 5: 19 – 20)
14. “ข้าแต่พระบิดา ผู้ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น
ข้าพเจ้าปรารถนาให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าทุกแห่งที่ข้าพเจ้าอยู่
เพื่อเขาจะได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพเจ้า”...
... “เราจะพำนักอยู่ และจะดำเนินไปกับพวกเขา
เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา...”
(ยอห์น 17: 24 ; 2 โครินทร์ 6: 16)
15. ...บรรดาศิษย์เข้ามาทูลว่า “โปรดอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด” พระองค์ตรัสว่า “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ... บุตรแห่งมนุษย์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์ มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรมให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ... ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ ในพระอาณาจักรของพระบิดา...” (มัทธิว 13: 36 – 43)
16. การต่อสู้และการทะเลาะวิวาทในหมู่ท่านนั้นมาจากที่ใด มิใช่มาจากกิเลสตัณหาซึ่งต่อสู้อยู่ภายในร่างกายของท่านหรือ ท่านอยากได้ แต่ไม่ได้ จึงฆ่ากัน ท่านอยากได้ แต่ไม่สมหวัง จึงทะเลาะวิวาทและต่อสู้กัน ท่านไม่มีเพราะไม่ได้วอนขอ ท่านวอนขอ แต่ไม่ได้รับ เพราะท่านวอนขอไม่ถูกต้อง คือวอนขอเพื่อนำไปสนองกิเลสตัณหาของท่าน (ยากอบ 4: 1 – 3)
17. …พระองค์ยังตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังอีกว่า “เศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดิน ที่เกิดผลดีอย่างมาก เขาจึงคิดว่า “ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉัน” เขาคิดอีกว่า “ฉันจะทำอย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหลายไว้ แล้วฉันจะพูดกับตนเองว่า ดีแล้ว เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด” แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนโง่เอ๋ย คืนนี้เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป แล้วส่งที่เจ้าได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเอง แต่ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้าก็จะเป็นเช่นนี้” (ลูกา 12: 16 – 21)
18. “...จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด อย่าตัดสินเขาแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขาแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขาแล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานให้แก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น เพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย” (ลูกา 6: 36 – 38)
19 “... ท่านทั้งหลายจงคาดสะเอว และจุดตะเกียงเตรียมพร้อมไว้จงเป็นเสมือนผู้รับใช้ที่กำลังคอยนายกลับจากงานสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตูจะได้เปิดรับ ผู้รับใช้เหล่านั้นเป็นสุขถ้านายกลับมาพบเขากำลังตื่นเฝ้าอยู่ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะคาดสะเอวพาผู้รับใช้เหล่านั้นไปนั่งโต๊ะและจะรับใช้เขาด้วย ไม่ว่านายจะมาเวลาสองยามหรือสามยาม ถ้าพบผู้รับใช้กำลังทำเช่นนี้ ผู้รับใช้เหล่านั้นก็เป็นสุข” (ลูกา 12: 35 – 38)
20 ... พระเยซูเจ้าทรงเพ่งมองหน้าเขา ตรัสว่า : “ข้อความในพระคัมภีร์ตอนนี้ หมายความว่าอย่างไร หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม” (ลูกา 20: 17)
21. ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่ง ให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมาข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วันนี้ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้ เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและเพื่อช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น” (ลูกา 19: 8 – 10)
22. ขุนนางคนหนึ่งทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ผู้ทรงความดี ข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ทำไมเรียกเราว่าผู้ทรงความดี ไม่มีใครทรงความดีนอกจากพระเจ้าเท่านั้น ท่านก็รู้จักบทบัญญัติแล้ว อย่าล่วงประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา” เขาทูลว่า “ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว” เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยิน จึงตรัสว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี แจกจ่ายเงินให้คนจนและท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” เมื่อได้ยินพระวาจานี้ เขาเศร้าใจมาก เพราะเขาเป็นคนมั่งมี (ลูกา 18: 18 – 23)
23...ท่านผู้ใดที่มีคนรับใช้ออกไปไถนาหรือไปเลี้ยงแกะ เมื่อคนรับใช้กลับจากทุ่งนา ผู้นั้นจะพูดกับคนรับใช้หรือว่า “เร็วเข้ามานั่งโต๊ะเถิด” แต่จะพูดมิใช่หรือว่า “จงเตรียมอาหารมาให้ฉันเถิด จงคาดสะเอวคอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม หลังจากนั้น เจ้าจึงกินและดื่ม” นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า “ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น” (ลูกา 17: 7 – 10)
24... ความต้องการตามธรรมชาติมนุษย์นำไปสู่ความตาย แต่ความปรารถนาของพระจิตเจ้า นำไปสู่ชีวิตและสันติ ความต้องการตามธรรมชาติมนุษย์นำไปสู่การเป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะไม่ยอมเชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระองค์ และไม่อาจอ่อนน้อมยอมรับด้วย ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติไม่อาจเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้ ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้า สถิตอยู่ในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ ถ้าพระคริสตเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว แม้ร่างกายของท่านตายเพราะบาป จิตของท่านก็มีชีวิตเพราะความชอบธรรม (โรม 8: 6 – 10)
25. “... ทุกคนที่มาหาเราย่อมฟังคำของเราและนำไปปฏิบัติ เราจะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า เขาเปรียบเสมือนผู้ใด เขาเปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้าน เขาขุดหลุม ขุดลงไปลึก และวางรากฐานไว้บนหิน เมื่อเกิดน้ำท่วม น้ำในแม่น้ำไหลมาปะทะบ้านหลังนั้น แต่ทำให้บ้านนั้นสั่นคลอนไม่ได้ เพราะบ้านหลังนั้นสร้างไว้อย่างดี แต่ผู้ที่ฟังและไม่ปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้านไว้บนพื้นดินโดยไม่มีรากฐาน เมื่อน้ำในแม่น้ำไหลมาปะทะ บ้านนั้นก็พังทลายลงและเสียหายมาก” (ลูกา 6: 47 – 49)
26. ... แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่มีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะต่างๆเหล่านี้แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกันฉันใด พระคริสตเจ้าก็ฉันนั้น เดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือไทก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน ... ถ้าเท้าจะพูดว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่มือ จึงไม่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย” แต่เท้าไม่ได้เป็นอวัยวะของร่างกายน้อยกว่าอวัยวะส่วนอื่นเพราะเป็นเพียงเท้า หรือถ้าหูจะพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ดวงตา จึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกาย” แต่ก็ไม่ได้ทำให้หูไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเลย ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นดวงตาแล้วจะได้ยินอย่างไร ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นหูแล้วจะได้กลิ่นอย่างไร” (1 โครินทร์ 12: 12 – 13, 15 – 17)
27 ... ร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะส่วนเดียว แต่มีอวัยวะหลายส่วน... พระเจ้าทรงจัดอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้อยู่ในที่ที่ทรงพระประสงค์ ถ้าร่างกายทุกส่วนเป็นอวัยวะเดียวแล้ว ร่างกายจะอยู่ที่ไหน เท่าที่เป็นอยู่ มีอวัยวะหลายส่วน แต่มีร่างกายเดียว ดวงตาพูดกับมือไม่ได้ว่า “เราไม่ต้องการเจ้า” และศีรษะก็พูดกับเท้าไม่ได้ว่า “เราไม่ต้องการเจ้า”... พระเจ้าทรงประกอบร่างกายขึ้นโดยให้เกียรติแก่อวัยวะที่ไม่มีเกียรติมากกว่าอวัยวะอื่นๆ เพื่อร่างกายจะได้ไม่มีการแตกแยกใดๆ ตรงกันข้าม อวัยวะแต่ละส่วนจะเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ถ้าอวัยวะหนึ่งเป็นทุกข์ อวัยวะอื่นทุกส่วนก็ร่วมเป็นทุกข์ด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะอื่นๆทุกส่วนก็ร่วมยินดีด้วยเช่นเดียวกัน (1 โครินทร์ 12: 14, 18 – 21, 24 – 26)
28. ...ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด ผลแห่งความสว่างคือ ความดี ความชอบธรรมและความจริงทุกประการ จงแสวงหาสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย จงอย่าเกี่ยวข้องกับกิจการแห่งความมืดซึ่งไร้ผล ตรงกันข้าม จงประณามกิจการเหล่านั้น... จงคอยระวังว่าท่านดำเนินชีวิตอย่างไร จงดำเนินชีวิตอย่างผู้เฉลียวฉลาด มิใช่อย่างผู้ขาดสติปัญญา จงใช้เวลาปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะเราอยู่ในยุคแห่งความเลวร้าย อย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงพยายามเข้าใจว่าพระเจ้าทรงประสงค์ใด (เอเฟซัส 5: 8 – 11, 15 – 17)
29 ... อย่าคล้อยตามความประพฤติของโลกนี้ แต่จงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการฟื้นฟูความคิดขึ้นใหม่ เพื่อจะได้รู้จักวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งใดดีและสิ่งใดเป็นที่พอพระทัยอันสมบูรณ์พร้อมของพระองค์เดชะพระหรรษทานที่ข้าพเจ้าได้รับ ข้าพเจ้าขอกล่าวกับท่านแต่ละคนว่า อย่าคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น แต่จงคิดให้ถูกต้องว่า พระเจ้าประทานความเชื่อให้แต่ละบุคคลมากน้อยต่างกัน เพราะร่างกายของเรามีองค์ประกอบหลายส่วน และส่วนต่างๆเหล่านี้ไม่มีหน้าที่เดียวกันฉันใด แม้เราจะมีจำนวนมากเราก็รวมเป็นร่างกายเดียวในพระคริสตเจ้าฉันนั้น โดยแต่ละคนต่างเป็นส่วนร่างกายของกันและกัน (โรม 12: 2 – 5)
30. ...ส่วนผู้ที่พิจารณาบัญญัติแห่งอิสรภาพ และยึดมั่นในบัญญัตินั้น มิใช่ฟังแล้วลืม แต่ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมประสบความสุขในการปฏิบัตินั้น (ยากอบ 1: 25)
31. ... “เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนในโลกนี้พร้อมใจกันอ้อนวอน ขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา” (มัทธิว 18: 19 – 20)
32. พี่น้องที่รัก พึงตระหนักว่า ทุกคนจงฉับไวที่จะฟัง แต่ช้าที่จะพูดและช้าที่จะโกรธ คนที่โกรธย่อมไม่ปฏิบัติตนชอบธรรมตามพระประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้นจงละทิ้งความโสมมทั้งหลาย และความชั่วร้ายทั้งหลายที่ยังตกค้างอยู่ จงน้อมรับพระวาจาที่ทรงปลูกฝังไว้ในท่าน พระวาจานั้นช่วยวิญญาณท่านให้รอดพ้นได้ (ยากอบ 1: 19 – 21)
33. พี่น้องทั้งหลายสิ่งสำคัญที่สุดจงอย่าสาบาน ไม่ว่าโดยอ้างสวรรค์หรืออ้างแผ่นดิน หรืออ้างอะไรอื่นใดทั้งสิ้น ถ้า “ใช่” จงบอกว่า “ใช่” ถ้า “ไม่ใช่” ก็จงบอกว่า “ไม่ใช่” เพื่อท่านจะไม่ถูกพิพากษา (ยากอบ 5: 12)
34. “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับหญิงสาวสิบคนถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าว ห้าคนเป็นคนโง่ อีกห้าคนเป็นคนฉลาด หญิงโง่นำตะเกียงไป แต่มิได้นำน้ำมันไปด้วย ส่วนหญิงฉลาด นำน้ำมันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียง...
... ครั้นเวลาเที่ยงคืน มีเสียงตะโกนบอกว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปรับกันเถิด” หญิงสาวทุกคนจึงตื่นขึ้นแต่งตะเกียง หญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า “ขอน้ำมันให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว” หญิงฉลาดจึงตอบว่า “ไม่ได้” เพราะน้ำมันอาจไม่พอสำหรับเราและสำหรับพวกเธอด้วย จงไปหาคนขายแล้วซื้อเอาเองดีกว่า ขณะที่หญิงสาวเหล่านั้นกำลังไปซื้อน้ำมันเจ้าบ่าวก็มาถึง หญิงสาวที่เตรียมพร้อมจึงเข้าไป ในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด...
เพราะฉะนั้นจงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา” (มัทธิว: 1 – 4, 6 – 10, 13)
35. ... ส่วนปรีชาญาณที่มาจากเบื้องบน ประการแรกเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แล้วจึงก่อให้เกิดสันติ เห็นอกเห็นใจ อ่อนน้อม เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา บังเกิดผลที่ดีงาม ไม่ลำเอียง ไม่เสแสร้ง ผู้ที่สร้างสันติย่อมเป็นผู้หว่านในสันติ และจะเก็บเกี่ยวผลเป็นความชอบธรรม (ยากอบ 3: 17 – 18)
36. ...เพราะท่านกำลังจะได้รับจุดมุ่งหมายของความเชื่อ คือความรอดพ้นของวิญญาณอยู่แล้ว ความรอดพ้นนี้ คือความรอดพ้นที่บรรดาประกาศกค้นหาและวิเคราะห์ ประกาศกเหล่านี้ประกาศพระวาจากล่าวถึงพระหรรษทานที่ทรงเตรียมไว้สำหรับท่าน (1 เปโตร 1: 9 – 10)
37. ... “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหิน ที่มีดินอยู่เล็กน้อยก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผา และเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล บางเมล็ดตกในที่ดินดีจึงงอกขึ้น เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด” (มาระโก 4: 3 – 9)
38 ...คนหนุ่มทุกคน จงอยู่ใต้อำนาจบรรดาผู้อาวุโส จงมีความถ่อมตนต่อกันเถิด เพราะพระเจ้าทรงต่อต้านคนเย่อหยิ่งจองหอง แต่ประทานพระหรรษทานแก่ผู้ถ่อมตน ดังนั้น จงถ่อมตนลงอยู่ใต้พระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงยกย่องท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร (1 เปโตร 5: 5 – 6)
39. ... ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่า มือขวากำลังทำสิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน (มัทธิว 6: 3 – 4)
40 ...ใครจะทำร้ายท่านได้ถ้าท่านมุ่งมั่นในความดี ถ้าท่านจะต้องทนทุกข์ทั้งๆที่ทำความดีแล้ว ก็จงเป็นสุขเถิดอย่ากลัวเขา อย่าวุ่นวายใจเลย แต่จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า คือ พระคริสตเจ้าในจิตใจของท่าน จงพร้อมเสมอที่จะให้คำอธิบายแก่ทุกคนที่ต้องการ รู้เหตุผลแห่งความหวังของท่าน จงอธิบายด้วยความอ่อนโยนและด้วยความเคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ เพื่อเมื่อท่านถูกใส่ร้าย ผู้ที่กล่าวร้ายความประพฤติดีของท่าน ตามคำสอนของพระคริสตเจ้า ก็จะต้องประสบความอับอาย หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า การทนทุกข์เพราะทำความดีนั้น ย่อมดีกว่าการทนทุกข์เพราะทำความชั่ว (1 เปโตร 3: 13 – 17)
41 ...ท่านใดที่มีแกะหนึ่งร้อยตัว ตัวหนึ่งพลัดหลง จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่นทุรกันดาร ออกไปตามหาแกะที่พลัดหลงจนพบหรือ เมื่อพบแล้วเขาจะยกมันใส่บ่าด้วยความยินดี กลับบ้าน เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมา พูดว่า “จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่พลัดหลงนั้นแล้ว...
... หญิงคนใดที่มีเงินสิบเหรียญแล้วทำหายไปหนึ่งเหรียญจะไม่จุดตะเกียง กวาดบ้าน ค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ เมื่อพบแล้ว นางจะเรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพูดว่า “จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบเงินเหรียญที่หายไปแล้ว” (ลูกา 15: 4 – 6, 8 – 9)
42 ...พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาเรื่องนี้ว่า “ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่ง ในสวนองุ่นของตน เขามามองหาผลที่ต้นนั้นแต่ไม่พบ จึงพูดแก่คนสวนว่า ‘ดูซิ สามปีแล้วที่ฉันมองหาผลจากมะเดื่อเทศต้นนี้ แต่ไม่พบ จงโค่นมันเสียเถิด เสียที่เปล่าๆ’ แต่คนสวนตอบว่า ‘นายครับ ปล่อยมันไว้ปีนี้อีกสักปีหนึ่งเถิด ผมจะพรวนดินรอบต้น ใส่ปุ๋ย ดูซิว่าปีหน้ามันจะออกผลหรือไม่ ถ้าไม่ออกผล ท่านจะโค่นทิ้งเสียก็ได้’...” (ลูกา 13: 6 – 9)
43 ...เรามีสมบัตินี้เก็บไว้ในภาชนะดินเผา เพื่อแสดงว่าอานุภาพล้ำเลิศนั้นมาจากพระเจ้า มิใช่มาจากตัวเรา เราทนทุกข์ทรมานรอบด้าน แต่ไม่อับจน เราจนปัญญา แต่ก็ไม่หมดหวัง เราถูกเบียดเบียน แต่ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีล้มลง แต่ไม่ถึงตาย เราแบกความตายของพระเยซูเจ้าไว้ในร่างกายของเราอยู่เสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูเจ้าจะปรากฎอยู่ในร่างกายของเราด้วย ( 2 โครินทร์ 4: 7 – 10)
44 ...ปีลาตจึงออกมาพบเขาข้างนอก กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายมีข้อกล่าวหาอะไรมาฟ้องชายคนนี้” เขาตอบว่า “ถ้าคนนี้ไม่ใช่ผู้ร้าย เราคงไม่นำมามอบให้ท่าน” ปีลาตพูดกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงนำเขาไปพิพากษากันเองตามกฎหมายของท่านเถิด” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราไม่มีอำนาจประหารชีวิตผู้ใดได้”...
...ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นกษัตริย์ใช่ไหม” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์นั้นถูกต้องแล้ว เราเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ เรามาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ฟังเรา” ปีลาตจึงถามว่า “ความจริงคืออะไร” พูดดังนี้แล้ว เขาก็กลับออกมาพบชาวยิวข้างนอกอีก พูดว่า “ข้าพเจ้าไม่พบข้อกล่าวหาอะไร ปรักปรำชายผู้นี้ได้” (ยอห์น 18: 29 – 31, 37 – 38)
45 ... จงแบ่งเบาภาระของกันและกัน แล้วท่านก็จะปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระคริสตเจ้าอย่างสมบูรณ์ หากผู้ใดคิดว่าตนเป็นคนสำคัญในขณะที่ไม่เป็นเช่นนั้น เขาย่อมหลอกตนเอง แต่ละคนจงพิจารณาการกระทำของตน แล้วจะภูมิใจในตนเอง โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับผู้อื่น แต่ละคนมีภาระของตนอยู่แล้ว ผู้ที่รับคำสั่งสอนพระวาจาจงแบ่งปันทรัพย์สินของตนให้แก่ผู้ที่สอน อย่าหลอกลวงตนเอง จะล้อพระเจ้าเล่นไม่ได้ ใครหว่านสิ่งใดย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ผู้ที่หว่านสิ่งใดตามธรรมชาติของตน ก็จะเก็บเกี่ยวความเสื่อมสลายจากธรรมชาติ ผู้ที่หว่านความดีในพระจิตเจ้า ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดรจากพระจิตเจ้า อย่าท้อแท้ในการทำความดี เพราะถ้าเราไม่หยุดทำความดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวเมื่อถึงเวลา ดังนั้น ตราบใดที่ยังมีโอกาส จงทำความดีแก่ทุกคน โดยเฉพาะแก่พี่น้องผู้ร่วมความเชื่อของเรา (กาลาเทีย 6: 2 – 10)
46 ...ต่อไปนี้ เป็นถ้อยคำที่ท่านเชื่อถือได้ ผู้ใดใฝ่ฝันจะปกครองดูแล เขาก็ปรารถนากิจการที่ดีงาม ดังนั้น ผู้ปกครองดูแล จะต้องประพฤติดีไม่มีที่ตำหนิ แต่งงานเพียงครั้งเดียว รู้จักประมาณตน มีสติสัมปชัญญะ สภาพเรียบร้อย มีอัธยาศัยไมตรีและรู้จักสอน ต้องไม่ใช่นักดื่มหรืออันธพาล แต่จะต้องมีใจเยือกเย็น ไม่ชอบทะเลาะวิวาท ไม่โลภทรัพย์สินเงินทอง (1 ทิโมธี 3: 1 – 3)
47 ... “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5: 3)
48 ... ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติสำคัญที่สุดดังที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “จงรักเพื่อนบ้านของท่าน เหมือนรักตนเอง” ท่านก็ทำดีแล้ว แต่ถ้าท่านลำเอียง ท่านย่อมทำบาป และถูกธรรมบัญญัติกล่าวโทษว่าเป็นผู้ละเมิด... ผู้ใดที่ไม่แสดงความเมตตา กรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ จะถูกพิพากษาโดยปราศจาก ความเมตตากรุณาเช่นเดียวกัน ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณาจะไม่เกรงกลัวการพิพากษา (ยากอบ 2: 8 – 9, 13)
49 ... พี่น้องทั้งหลายจงคิดว่าเป็นที่น่ายินดี เมื่อประสบความยากลำบากต่างๆ เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าการที่ความเชื่อของท่านถูกทดสอบก่อให้เกิดความพากเพียร จงพากเพียรให้ถึงที่สุด เพื่อท่านจะได้เป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ไม่มีที่ตำหนิ และไม่มีสิ่งใดบกพร่อง (ยากอบ 1: 2 – 4)
50 ...ถ้าผู้ใดไม่ผิดพลาดด้วยวาจา ผู้นั้นย่อมเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ เขาบังคับร่างกายทั้งหมดให้อยู่ใต้อำนาจได้ เราสวมบังเหียนที่ปากม้าก็เพื่อให้มันเชื่อฟังเรา เราบังคับให้มันไปที่ใด ก็ได้ทั้งตัว จงดูเรือเถิด แม้เรือจะใหญ่โต และถูกลมแรงพัดให้แล่นไป ก็ยังถูกบังคับด้วยหางเสือเล็กๆ ให้ไปทางใดก็ได้ตามใจนายท้าย ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็กๆ แต่ก็โอ้อวดกิจการใหญ่โตได้ จงดูเถิด ประกายไฟเพียงนิดเดียวก็เผาป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลให้วอดวายได้ ลิ้นก็เป็นไฟ เป็นโลกของความชั่วร้าย อยู่ระหว่างอวัยวะต่างๆของเรา ทำให้ร่างกายโสมมไปทั้งร่าง และติดไฟมาจากขุมนรก เผาผลาญเราทั้งชีวิต (ยากอบ 3: 2 – 6)
51 ...ส่วนลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ควบคุมไม่ได้ มีพิษร้ายถึงตาย เราใช้ลิ้นถวายพระพรพระเจ้าพระบิดา และใช้ลิ้นสาปแช่งมนุษย์ ซึ่งถูกสร้างตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า ทั้งคำถวายพระพร และคำสาปแช่ง ล้วนออกมาจากปากเดียวกัน พี่น้องทั้งหลายไม่ควรให้เป็นเช่นนี้เลย (ยากอบ 3: 8 – 10)
52 ... หนังสือลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสตเจ้า โอรสของกษัตริย์ดาวิด ผู้ทรงสืบตระกูลมาจากอับราฮัม อับราฮัมเป็นบิดาของอิสอัค อิสอัคเป็นบิดาของยาโคบ ยาโคบเป็นบิดาของยูดาห์กับบรรดาพี่น้อง
... ยาโคบเป็นบิดาของโยเซฟ พระสวามีของพระนางมารีย์ พระเยซูเจ้าที่ขานพระนามว่า “พระคริสตเจ้า” ประสูติจากพระนางมารีย์ผู้นี้ ดังนั้น ลำดับพระวงศ์ของพระเยซูเจ้าจากอับราฮัมถึงกษัตริย์ดาวิดมีสิบสี่ชั่วคน นับจากกษัตริย์ดาวิดถึงสมัยที่ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยไปกรุงบาบิโลนมีอีกสิบสี่ชั่วคน และนับจากสมัยที่ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยไปกรุงบาบิโลน ถึงพระเยซูเจ้ามีอีกสิบสี่ชั่วคน (มัทธิว 1: 1 – 2, 16 – 17)
53 ...พระเจ้าทรงทำงานในท่านเพื่อให้ท่านมีทั้งความปรารถนา และความสามารถที่จะทำงานตามพระประสงค์ จงทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่บ่นหรือโต้เถียง ท่านทั้งหลายจะได้ไม่ถูกตำหนิ ปราศจากเล่ห์กล เป็นบุตรของพระเจ้า ไร้มลทินในหมู่พงศ์พันธุ์ที่คดโกงและชั่วร้าย ฉายแสงในหมู่ชนนี้เสมือนดวงประทีบอยู่ในโลก (ฟิลิปปี 2: 13 – 15)
54 ...พระองค์ประทานให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นประกาศก บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวดี บางคนเป็นผู้อภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับงานรับใช้ เสริมสร้างพระกายของพระคริสตเจ้า จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียว ในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ตามมาตรฐาน ความสมบูรณ์ของพระคริสตเจ้า... พระองค์ทรงทำให้ร่างกายทุกส่วนประสานสัมพันธ์กันอย่างสนิทแน่นแฟ้น ทรงจัดให้ข้อต่อทุกข้อเสริมกำลังให้แต่ละส่วนทำหน้าที่ของตน ร่างกายจึงเจริญเติบโต และเสริมสร้างตนเองอย่างสมบูรณ์ขึ้น ด้วยความรัก (เอเฟซัส 4: 11 – 13, 16)
55 ...พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่คิดว่า ข้าพเจ้าชนะแล้ว ข้าพเจ้าทำเพียงอย่างเดียวคือ ลืมสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง มุ่งสู่เบื้องหน้าอย่างสุดกำลัง ข้าพเจ้ากำลังวิ่งเข้าสู่เส้นชัยไปหารางวัลที่พระเจ้าทรงเรียกจากสวรรค์ให้ข้าพเจ้าเข้าไปรับในพระคริสตเยซู ดังนั้นเราทุกคนที่บรรลุวุฒิภาวะแล้ว จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ และถ้าท่านทั้งหลายยังคิดเป็นเรื่องอื่น พระเจ้าก็จะทรงเปิดเผยเรื่องนี้แก่ท่าน ดังนั้น เมื่อเราก้าวหน้าถึงที่ใดแล้ว จงก้าวหน้าต่อไปในทิศทางเดียวกัน” (ฟิลิปปี 3: 13 – 16)
56 ...เพราะพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้เปโตรเป็นธรรมทูตไปพบผู้ที่เข้าสุหนัตแล้ว ก็ทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าไปพบคนต่างศาสนาเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อยากอบ เคฟาส และยอห์น ซึ่งได้รับความนับถือว่าเป็นหลักรู้เรื่องพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้าแล้ว ก็จับมือข้าพเจ้าและบารนาบัส แสดงความเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ตกลงกันว่าเราจะไปพบคนต่างศาสนา ส่วนพวกเขาจะไปพบผู้เข้าสุหนัตแล้ว เขาเหล่านั้นขอเพียงแต่ไม่ให้เราลืมคนยากจน คำขอนี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะทำอยู่แล้ว (กาลาเทีย 2: 8 – 10)
57... พระองค์ผู้ประทานเมล็ดพืชแก่ผู้หว่าน และประทานอาหารเลี้ยงชีวิต จะทรงจัดหาและทวีเมล็ดพืช ที่ท่านหว่าน และจะทรงเพิ่มพูนผลแห่งความชอบธรรม ของท่านด้วย ท่านจะมั่งคั่งบริบูรณ์ทุกประการ เพื่อจะแจกจ่ายได้อย่างใจกว้าง ทานบริจาคของท่านซึ่งเราจะจัดแจกนี้ จะทำให้มีการขอบพระคุณพระเจ้า ( 2 โครินทธ์ 9:10 - 11)
58 ... แต่เราแสดงตนเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ในทุกกรณี ด้วยความอดทนอย่างมาก ในความทุกข์ยาก ความขัดสน ความคับแค้น การถูกโบยตี การถูกจองจำ การจลาจล ความเหน็ดเหนื่อยจากการงาน การอดนอน การอดอาหาร เราแสดงตนเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ ความรู้ ความเพียรทน ความใจดี ความช่วยเหลือของพระจิตเจ้า ความรักที่ไม่เสแสร้ง ถ้อยคำสัตย์จริงและด้วยพระอานุภาพของพระเจ้า โดยใช้ความชอบธรรมเป็นอาวุธทั้งมือซ้ายและมือขวา ทั้งยามมีเกียรติและยามไร้เกียรติ ทั้งเมื่อถูกกล่าวร้ายและกล่าวดี เราถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหลอกลวง แต่เราก็พูดความจริง เราถูกกล่าวหาว่าไม่มีใครรู้จัก แต่เราก็มีคนรู้จักมากมาย เหมือนกับคนกำลังจะตาย แต่เราก็ยังมีชีวิต เหมือนคนถูกลงโทษ แต่เราก็ไม่ถูกประหาร เหมือนกับเป็นคนมีความทุกข์ แต่ชื่นชมเสมอ เหมือนกับเป็นคนยากจน แต่เราก็ทำให้คนจำนวนมากมั่งมี เหมือนกับคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่เราก็มีทุกอย่าง (2 โครินทร์ 6: 4 - 10)
59. พี่น้องทั้งหลาย จงชื่นชมเถิด จงปรับปรุงตนให้ดีพร้อม จงให้กำลังใจกัน จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงดำเนินชีวิตอย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติจะสถิตอยู่กับท่าน (2 โครินทร์ 13: 11)
60 …พระเจ้าประทานพระหรรษทานทุกประการแก่ท่านได้อย่างอุดม เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งเพียงพอ และยังมีเหลือเฟือสำหรับกิจการดีทุกประการอีกด้วย ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เขาเอื้อเฟื้อแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่ตลอดนิรันดร” (2 โครินทร์ 9: 8 – 9)
61 ... ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง ความรักไม่มีสิ้นสุด แม้การประกาศพระวาจาจะถูกยกเลิก แม้การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจะยุติ แม้ความรู้จะหมดสิ้น... ขณะนี้ยังมีความเชื่อ ความหวัง และความรัก อยู่ทั้งสามประการ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก (1 โครินทร์ 13: 4 – 8,13)
62 ...จงใช้ทุกโอกาสเพื่อปฏิบัติตนต่อคนต่างศาสนาด้วยความเฉลียวฉลาดรอบคอบ จงให้คำพูดของท่านอ่อนโยนและถูกกาลเทศะอยู่เสมอ จงรู้จักตอบทุกคนอย่างดีที่สุด (โคโลสี 4: 5 – 6)
63 ...พระเจ้าประทานพระหรรษทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้วางรากฐานไว้ประหนึ่งเป็นสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญ และผู้อื่นก็สร้างขึ้นบนรากฐานนั้น แต่ละคนจะต้องระมัดระวังว่า เขาก่อสร้างอย่างไร รากฐานที่วางไว้แล้วนี้ คือ พระเยซูคริสตเจ้า และไม่มีใครวางรากฐานอื่นได้อีกบนรากฐานนี้ ใครก่อสร้างโดยใช้องคำ เงิน เพชรนิลจินดา ไม้ หญ้าหรือฟาง ผลงานของแต่ละคนก็จะปรากฏให้เห็น วันพิพากษาซึ่งจะลุกเป็นไฟจะบอกให้รู้ เพราะไฟจะทดสอบผลงานของแต่ละคนและจะเปิดเผยให้เห็นว่า ผลงานนั้นเป็นอย่างไร (1 โครินทร์ 3: 10 – 13)
64 …ข้าพเจ้าคิดว่าการมีชีวิตอยู่ก็คือพระคริสตเจ้า และการตายก็เป็นกำไร... นับแต่บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งไม่มีประโยชน์อีกเมื่อเปรียบกับประโยชน์ล้ำค่า คือ การรู้จักพระคริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงยอมสูญเสียทุกสิ่ง ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งเป็นปฏิกูล เพื่อจะได้องค์พระคริสตเจ้ามาเป็นกำไร... ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย สิ่งใดจริง สิ่งใดประเสริฐ สิ่งใดชอบธรรม สิ่งใดบริสุทธิ์ สิ่งใดน่ารัก สิ่งใดควรยกย่อง ถ้ามีสิ่งใดน่าสรรเสริญ ท่านจงพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ด้วยการใคร่ครวญเถิด สิ่งต่างๆที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ฟัง และได้เห็น ในตัวข้าพเจ้านั้น จงนำไปปฏิบัติเถิด แล้วพระเจ้าแห่งสันติจะสถิตอยู่กับท่าน (ฟิลิปปี 1 – 21, 3: 8, 4: 8 – 9)
65 ...เมื่อปีลาตได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จึงสั่งให้นำพระเยซูเจ้าออกมาข้างนอก ให้นั่งบนบัลลังก์พพากษาในสถานที่ที่เรียกว่า “ลานศิลา” ภาษาฮีบรูว่า “กับบาธา” วันนั้นเป็นวันเตรียมฉลองปัสกา เวลาประมาณเที่ยงวัน ปีลาตบอชาวยิวว่า “นี่คือกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย”เขาเหล่านั้นตะโกนว่า “เอาตัวไป เอาตัวไปตรึงกางเขน” ปีลาตถามเขาว่า “จะให้เราตรึงกางเขนกษัตริย์ของท่านหรือ” บรรดาหัวหน้าสมณะตอบว่า “พวกเราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากพระจักรพรรดิ” ปีลาตจึงมอบพระองค์ให้เขาเหล่านั้นนำไปตรึงกางเขน (ยอห์น 19: 13 – 16)
66 ...พระองค์ตรัสว่า “ท่านมีขนมปังกี่ก้อน ไปดูซิ” บรรดาศิษย์ไปดูแล้วกลับมารายงานว่า “มีขนมปังอยู่ห้าก้อนกับปลาสองตัว” พระองค์จึงทรงสั่งให้ทุกคนนั่งลงเป็นกลุ่มๆ ตามพื้นหญ้าสีเขียว เขาก็นั่งลงเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง พระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า แล้วทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่ายให้กับประชาชน ทั้งยังทรงแบ่งปลาสองตัวแจกจ่ายให้ทุกคนด้วย ทุกคนได้กินจนอิ่มแล้วยังเก็บเศษขนมปัง และปลาที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม จำนวนคนที่กินขนมปังครั้งนั้นมีผู้ชายถึงห้าพันคน (มาระโก 6: 38 – 44)
67 ...ความเคารพรักพระเจ้านำผลกำไรมหาศาลมาให้เฉพาะแก่ผู้ที่พอใจในสิ่งที่ตนมีเท่านั้น เราไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวเข้ามาในโลก และเราก็นำอะไรออกไปได้ ตราบใดที่มีอาหาร และเครื่องนุ่งห่ม เราก็พอใจแล้ว คนที่อยากรวยก็ตกเป็นเหยื่อของการทดลอง ติดกับดักและตกลงไปในตัณหาชั่วร้ายโง่เขลามากมาย ซึ่งทำให้มนุษย์จมสู่ความพินาศย่อยยับ ความรักเงินตราเป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทุกประการ บางคนเมื่อแสวงหาแต่เงินก็พลัดหลงจากความเชื่อ เป็นเหตุให้ตนเองได้รับความทุกข์เป็นอันมาก (1 ทิโมธี 6: 6 – 10)
68 ...จงเคารพรักเขาเหล่านั้นให้มากเพราะงานที่เขากระทำ จงอยู่ด้วยกันอย่างสันติ พี่น้องทั้งหลายเราขอร้องท่านให้ตักเตือนแก้ไขผู้ขาดวินัย จงให้กำลังใจผู้หวาดกลัว จงค้ำจุนผู้อ่อนแอ จงอดทนต่อทุกคน จงระวังอย่าให้ใครตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว แต่จงแสวงหาความดีให้แก่กันและกันและให้แก่ทุกคน จงร่าเริงยินดีเสมอ จงอธิษฐานภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะพระองค์ทรงปรารถนาให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ในพระคริสตเยซู (1 เธสะโลนิกา 5: 13 – 18)
69 ... ข้าพเจ้ามิได้พูดเช่นนี้เพราะต้องการสิ่งใด ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะพอใจในสภาพของตน รู้จักมีชีวิตอยู่อย่างอดออมและรู้จักมีชีวิตอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกกรณี เผชิญกับความอิ่มท้องและความหิวโหย เผชิญกับความมั่นคั่งและความขัดสน ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ในพระองค์ ผู้ประทานพละกำลังแก่ข้าพเจ้า (ฟิลิปปี 4: 11 – 13)
70 ... ท่านพิพากษาตามมาตรการของมนุษย์ แต่เราไม่พิพากษาผู้ใด และถึงแม้ว่าเราพิพากษาผู้ใด คำพิพากษาของเราก็น่าเชื่อถือ เพราะเราไม่อยู่คนเดียว แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงอยู่กับเราด้วย ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายมีเขียนไว้ว่า คำยืนยันเป็นพยานของคนสองคนเป็ที่น่าเชื่อถือ เราเป็นพยานให้ตนเอง และพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาทรงเป็นพยานให้เราด้วย” (ยอห์น 8: 15 – 18)
71... พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนและบรรดาศิษย์เข้ามาตรัสว่า ‘ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น จะต้องสูญเสียชีวิตนั้น แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา และเพราะข่าวดี ก็จะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต มนุษย์จะให้อะไรเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไป (มาระโก 8: 34 – 37)
72 ...บัดนี้ ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่า จงดำเนินตามพระจิตเจ้าและอย่าตอบสนองความปรารถนาตามธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมนุษย์มีความปรารถนาตรงกันข้ามกับพระจิตเจ้า และพระจิตเจ้าก็ทรงปรารถนาตรงกันข้ามกับธรรมชาติมนุษย์ สองสิ่งนี้ขัดแย้งกัน ท่านทำสิ่งที่ท่านอยากทำไม่ได้ ถ้าท่านมีพระจิตเจ้าเป็นผู้นำ ท่านก็ไม่อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ... ส่วนผลของพระจิตเจ้าก็คือความรัก ความชื่นชม ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ความใจดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนโยน และการรู้จักควบคุมตนเอง เรื่องเหล่านี้ไม่มีธรรมบัญญัติใดห้ามไว้เลย ผู้ที่เป็นของพระคริสตเยซู ก็ตรึงธรรมชาติของตนพร้อมกับกิเลสตัณหาไว้กับไม้กางเขนแล้ว (กาลาเทีย 5: 16 – 18, 22 – 24)
73 ... ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย สิ่งใดจริง สิ่งใดประเสริฐ สิ่งใดชอบธรรม สิ่งใดบริสุทธิ์ สิ่งใดน่ารัก สิ่งใดควรยกย่อง ถ้ามีสิ่งใดเป็นคุณธรรม ถ้ามีสิ่งใดน่าสรรเสริญ ท่านจงพิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วยการใคร่ครวญเถิด สิ่งต่างๆที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ฟัง และได้เห็นในตัวข้าพเจ้านั้น จงนำไปปฏิบัติเถิด แล้วพระเจ้าแห่งสันติจะสถิตอยู่กับท่าน (ฟิลิปปี 4: 8 – 9)
74 ...อย่าคล้อยตามความประพฤติของโลกนี้ แต่จงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการฟื้นฟูความคิดขึ้นใหม่ เพื่อจะได้รู้จักวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งใดดี และสิ่งใดเป็นที่พอพระทัยอันสมบูรณ์พร้อมของพระองค์ (โรม 12: 2)
75 ...ถ้าท่านเห็นโคหรือแกะของพี่น้องของท่านพลัดหลงไป ท่านจะต้องไม่นิ่งเฉย แต่ต้องเอาใจใส่นำมาคืนให้เขา แต่ถ้าเจ้าของอยู่ไกลหรือท่านไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ ท่านจะต้องจูงสัตว์นั้นมาที่บ้าน และเก็บไว้จนกว่าเจ้าของจะมาตามหา แล้วท่านจะต้องคืนให้เขาไป... ขณะที่ท่านเดินทาง ถ้าท่านพบรังนกอยู่บนต้นไม้ หรือบนพื้นดิน มีแม่นกกกไข่หรือกกลูกอยู่ ท่านจะต้องไม่พรากแม่นกไปจากลูก ท่านจะนำลูกนกไปก็ได้ แต่ต้องปล่อยแม่นกไป แล้วท่านจะอยู่อย่างมีความสุข และมีชีวิตยืนนาน (เฉลยธรรมบัญญัติ 22: 1 – 2, 6 – 8)
76 ...จงอวยพรผู้ที่เบียดเบียนท่าน จงอวยพรเขาอย่าสาปแช่ง จงร่วมยินดีกับผู้ที่ยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่ามักใหญ่ใฝ่สูง แต่จงยอมทำสิ่งต่ำต้อยเถิด อย่าทะนงว่าตนฉลาด อย่าตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว จงพยายามทำดีต่อมนุษย์ทุกคน ในส่วนของท่าน จงอยู่อย่างสันติกับทุกคน ถ้าเป็นไปได้ พี่น้องที่รักยิ่ง อย่าแก้แค้นเลย แต่จงให้พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษเถิด ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะตอบแทนการกระทำของทุกคน พระเจ้าตรัสดังนี้ ตรงกันข้ามถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารกับเขา ถ้าเขากระหายจงให้เขาดื่ม เพราะเมื่อทำเช่นนี้ ท่านจะทำให้เขาสำนึกและละอายได้ อย่าให้ความชั่วเอาชนะท่าน แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี (โรม 12: 14 – 21)
77 ...จงเห็นอกเห็นใจกัน จงมีความใจดี ความถ่อมตน ความอ่อนโยน และความพากเพียรอดทน เป็นสมือนเครื่องประดับตน จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน หากมีเรื่องผิดใจกันก็จงยกโทษกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยความผิดของท่านอย่างไร ท่านก็จงให้อภัยแก่เขาอย่างนั้นเถิด แต่สิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งใดก็คือ ความรัก ซึ่งรวมเราไว้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ (โคโลสี 3: 12 – 14)
78 ...เรามีพระพรพิเศษแตกต่างกันตามพระหรรษทานที่พระองค์ประทานให้ ผู้ได้รับพระพรที่จะประกาศพระวาจา ก็จงใช้พระพรนั้นมากน้อยตามส่วนความเชื่อของตน ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะสอน ก็จงสอน ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะตักเตือน ก็จงตักเตือน ผู้ที่บริจาค ก็จงบริจาคด้วยความเอื้อเฟื้ออย่างจริงใจ ผู้ที่เป็นผู้นำ ก็จงทำหน้าที่ผู้นำด้วยความเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณา ก็จงแสดงความเมตตากรุณาด้วยใจยินดี จงรักด้วยใจจริง จงหลีกหนีความชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี อย่าเฉื่อยชา จงมีจิตใจกระตือรือร้นในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ยาก จงพากเพียรในการภาวนา จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือพี่น้องคริสตชนในยามขัดสน จงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี (โรม 12: 6 – 13)
79 ...ส่วนลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ควบคุมไม่ได้ มีพิษร้ายถึงตาย เราใช้ลิ้นถวายพระพรพระเจ้าพระบิดา และใช้ลิ้นสาปแช่งมนุษย์ ซึ่งถูกสร้างตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า ทั้งคำถวายพระพรและคำสาปแช่ง ล้วนออกมาจากปากเดียวกัน พี่น้องทั้งหลาย ไม่ควรให้เป็นเช่นนี้เลย ตาน้ำจะมีทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อยพุ่งมาจากช่องเดียวกันได้หรือ พี่น้องทั้งหลาย ต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกเทศได้อย่างไร เถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อเทศได้อย่างไร ตาน้ำเค็มย่อมให้น้ำจืดไม่ได้ (ยากอบ 3: 8 – 12)
80 ... “ผู้รับใช้ จงอยู่ใต้อำนาจด้วยความเคารพยำเกรง ไม่เพียงแต่นายที่ใจดีและอ่อนโยนเท่านั้น ตีรวมถึงนายที่ใจร้ายด้วย การที่ใครคนหนึ่งยอมทนทุกข์ทรมานอย่างอยุติธรรมเพราะคำนึงถึงพระเจ้าก็เป็นพระหรรษทาน จะเป็นเกียรติได้อย่างไรถ้าท่านทำผิดแล้วต้องทนทุกข์ เพราะถูกลงโทษ แต่ถ้าท่านทำความดีแล้วยอมทนทุกข์ จึงจะเป็นพระหรรษทานของพระเจ้า พระเจ้าทรงเรียกท่านให้ปฏิบัติดังนี้ พระคริสตเจ้าทรงรับทรมานเพื่อท่านและประทานแบบฉบับไว้ให้ท่านดำเนินตามรอยพระบาท” (1 เปโตร 2: 18 – 21)
81. ท่านทั้งหลาย เป็นชาติที่ทรงเลือกสรรไว้เป็นสมณะราชตระกูล เป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์ เป็นประชากรที่เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของพระเจ้า เพื่อจะประกาศพระฤทธานุภาพของพระองค์ ผู้ทรงเรียกท่านจากความมืด สู่ความสว่างที่น่าพิศวงของพระองค์ ในอดีตท่านมิได้เป็นประชากร แต่บัดนี้ ท่านเป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว ในอดีต ท่านมิได้รับพระเมตตา แต่บัดนี้ ท่านได้รับพระเมตตาแล้ว (1 เปโตร 2: 9-10)
82. ข้าพเจ้าจึงพบกฎนี้ว่า เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอยากทำดี เมื่อนั้นความชั่วก็มาอยู่ใกล้ข้าพเจ้าเสมอ ในส่วนลึกของจิตใจข้าพเจ้านิยมชมชอบธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า มีกฎอีกข้อหนึ่ง ในร่างกายของข้าพเจ้าซึ่งสู้รบกับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และล่ามข้าพเจ้าไว้กับกฎของบาป ซึ่งอยู่ในร่างกายของข้าพเจ้า (โรม 7: 21-23)
83. พี่น้อง เราวอนขอท่านให้มีความเคารพผู้ที่ทำงานในหมู่ท่านทั้งหลาย เป็นผู้นำในองค์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นผู้ตักเตือนท่าน จงเคารพรักเขาเหล่านั้นให้มาก เพราะงานที่เขากระทำ จงอยู่ด้วยกันอย่างสันติ พี่น้องทั้งหลายเราขอร้องท่าน ให้ตักเตือนแก้ไขผู้ขาดวินัย จงให้กำลังใจผู้หวาดกลัว จงค้ำจุนผู้อ่อนแอ จงอดทนต่อทุกคน จงระวังอย่าให้ใครตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว แต่จงแสวงหาความดีให้แก่กันและกัน และให้แก่ทุกคน จงร่าเริงยินดีเสมอ จงอธิษฐานภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะพระองค์ทรงปรารถนา ให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ ในพระคริสตเยซู อย่าดับไฟของพระจิตเจ้า อย่าดูหมิ่นการประกาศพระวาจา จงทดสอบทุกสิ่ง และยึดสิ่งที่ดีงามไว้ จงละเว้นความชั่วทุกรูปแบบ (1 เธสะโลนิกา 5: 12 - 22)
84. ดังนั้น อย่าให้บาปครอบงำร่างกายที่ตายได้ของท่าน จนท่านต้องยอมตามราคะตัณหาของร่างกาย อย่ามอบร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใด ให้แก่บาปเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำความชั่ว แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า ดุจดังคนที่กลับคืนชีพจากความตาย มามีชีวิตใหม่ จงถวายทุกส่วนของร่างกาย แด่พระเจ้าเป็นเครื่องมือในการประกอบความชอบธรรม บาปจะไม่เป็นนายเหนือท่านอีก เพราะท่านไม่อยู่ใต้อำนาจธรรมบัญญัติอีกแล้ว แต่อยู่ใต้อำนาจพระหรรษทาน (โรม 6:12-14)
85. เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ตรัสผ่านประกาศกจะเป็นความจริงว่า "หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชาย ซึ่งจะได้รับนามว่า อิมมานูเอล แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา" (มัทธิว 1:22-23)
86. จงชื่นชมในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด ข้าพเจ้าขอย้ำอีกว่า จงชื่นชมเถิด จงให้ความอ่อนโยนของท่านทั้งหลายปรากฏแก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว อย่ากระวนกระวายใจถึงสิ่งใดเลย จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาทุกอย่างของท่านโดยคำอธิษฐาน การวอนขอพร้อมด้วยการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินสติปัญญาจะเข้าใจได้นั้น จะคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่านไว้ในพระคริสตเยซู (ฟิลิปปี 4:4-7)
87. อย่าเป็นหนี้ผู้ใด นอกจากเป็นหนี้ความรักซึ่งกันและกัน ผู้ที่รักเพื่อนมนุษย์ ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว พระบัญญัติกล่าวว่า อย่าผิดประเวณีอย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าโลภ และถ้ามีบทบัญญัติอื่นอีกก็สรุปได้ในข้อความนี้ว่า จงรักเพื่อนมนุษย์ เหมือนรักตนเอง ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์ ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน (โรม 13: 8-10)
88. ทุกคนจงนอบน้อมต่อผู้มีอำนาจปกครอง เพราะไม่มีอำนาจใดที่ไม่มาจากพระเจ้า และอำนาจทั้งหลายที่มีอยู่ก็ได้รับจากพระเจ้าทั้งสิ้น ดังนั้น ผู้ที่ต่อต้านอำนาจก็ต่อต้านพระบัญชาของพระเจ้า และผู้ที่ต่อต้านก็จะถูกตัดสินลงโทษ ผู้กระทำความดีไม่ต้องเกรงกลัวผู้มีอำนาจปกครอง แต่ผู้กระทำชั่วต้องเกรงกลัว ท่านไม่ประสงค์จะกลัวผู้มีอำนาจปกครองหรือ จงทำดีเถิด และท่านจะได้รับคำชม จากผู้มีอำนาจปกครอง เพราะผู้มีอำนาจปกครองเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเพื่อความดีของท่าน ถ้าท่านทำผิดจงเกรงกลัวเถิด เพราะผู้มีอำนาจปกครองจะไม่เพียงถือดาบไว้เท่านั้น แต่มีดาบไว้เพื่อลงโทษผู้กระทำชั่ว เพราะเขาคือผู้รับใช้พระเจ้า ... พวกเราที่เข้มแข็งอดทน ต่อความพลาดพลั้งของคนที่อ่อนแอ และไม่ทำตามใจชอบของเราเอง พวกเราแต่ละคนต้องเอาใจพี่น้องเพื่อความดีและค้ำจุนกัน เพราะพระคริสตเจ้ามิได้ทรงถือพระทัยของพระองค์เป็นใหญ่ แต่ทรงอดทน ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า คำสบประมาทของผู้ที่เหยียดหยามพระองค์ ตกอยู่กับข้าพเจ้า (โรม 13: 1 – 4, 15: 1 – 3)
89. ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน เพราะบุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ (มาระโก 10: 43 – 45)