15 กันยายน ระลึกถึงแม่พระมหาทุกข์
การฉลองแม่พระมหาทุกข์นี้ เชิญชวนให้เรารำพึงถึงความทุกข์เจ็บปวดรวดร้าวของพระมารดา 7 อย่างด้วยกัน ที่มีการพูดถึงในพระวรสาร เป็นพระสันตะปาปาปีโอที่ 7 ที่ได้นำการฉลองแม่พระมหาทุกข์เข้ามาในพิธีกรรมของพระศาสนจักร เพื่อเป็นการระลึกถึงความทุกข์ยากลำบากที่จักพรรดินโปเลียนได้กระทำต่อพระศาสนจักร และเป็นต้นที่ได้กระทำต่อประมุขของพระศานจักร
การมีส่วนร่วมในความทุกข์ยากลำบาก ที่พระมารดาพระผู้ไถ่ได้มีร่วมกับพระบุตรของพระนาง ในงานช่วยมนุษย์ให้รอดนั้น ( ลก. 2: 33 - 35 ) เป็นต้นได้แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์พยานในชั่วโมงที่พระองค์ถูกตรึงไม้กางเขน
ในปัจจุบันการฉลองการระลึกถึงแม่พระมหาทุกข์นี้ เรามุ่งมาที่ตัวพระนางเอง พระมารดาผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์และยัญบูชาของพระคริสตเจ้า ซึ่งพระนางเองได้ทรงถวายแด่พระบิดาพร้อมๆ กับพระบุตร
ความทุกข์ยากเป็นของมนุษย์ทุกคนที่เจริญชีวิตในโลกนี้ ทุกคนต้องเผชิญกับการประจญของปิศาจและความยากลำบากต่างๆ แต่พระองค์ประทานพระหรรษทานให้แก่ทุกคน ให้สามารถต่อสู้ความทุกข์ยากนั้น ตามแต่ความต้องการของแต่ละคน
มหาทุกข์ 7 ประการของพระแม่เปรียบดั่งดาบ 7 เล่มที่เสียบแทงดวงพระหทัยพระนาง คือ
1. คำพยากรณ์ของท่านซีเมโอน
ในพระวิหาร ซีเมโอนรับพระกุมารมาอุ้มไว้ พยากรณ์ว่าเด็กนี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งการขัดแย้ง " กุมารนี้เกิดมาเพื่อความพินาศ และความรอดของคนเป็นอันมากในชาติอิสราเอล และเป็นเสมือนเป้าให้มนุษย์คัดค้าน ส่วนตัวท่าน ( พระนางมารีอา) ก็จะถูกกระบี่ทิ่มแทงดวงใจ " ( ลก. 2: 34 - 35 )
2. พาพระกุมารหนีไปอิยิปต์
ดาบเล่มที่ 2 ที่ทิ่มแทงดวงหทัยของพระนางคือ การที่ต้องพาพระเยซูเจ้าหนีไปอิยิปต์ เพื่อให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเฮโรด
เฮโรดคอยด้วยความกระวนกระวาย เมื่อทราบข่าวจากบัณฑิตทั้งสามว่า พระเยซูเจ้าบังเกิดที่ไหน จะได้ไปตามฆ่า เมื่อทราบว่าตนถูกหลอก ก็สั่งให้ฆ่าทารกทุกคนในเมืองเบธเลแฮม แต่เทวดาปรากฏมาบอกโยเซฟในฝันว่า " ลุกขึ้นเถิด พาพระกุมารและพระมารดา หนีไปประเทศอิยิปต์ " ( มธ. 2: 13 )
3. พระเยซูเจ้าทรงหายไปในพระวิหาร
ช่างเป็นภาพที่น่ารันทดใจเพียงใด ที่แม่พระต้องปวดร้าวใจตามหาพระเยซูเจ้าตั้งแต่เช้าจรดค่ำตลอด 3 วัน พระนางอาจจะกินข้าวกับน้ำตาเหมือนกับกษัตริย์ดาวิดคร่ำครวญถึงบุตรของตนที่หายไป " ข้าพระองค์กินน้ำตาต่างอาหารทั้งวันและคืน ขณะที่คนพูดกับข้าพระองค์วันแล้ววันเล่าว่า " พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน " "(สดด. 42: 3)
4. พระมารดาพบพระเยซูเจ้าระหว่างทางสู่เนินเขากัลวาลิโอ
ประกาศกอิสยาห์กล่าวว่า " เรามองเห็นพระองค์ในสายตามนุษย์แล้วน่าสงสาร ( อสย . 53 : 2 ) นี่แหละพระบุตรสุดที่รักของพระนาง ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร แม่พระคงปรารถนาจะเข้าไปกอดพระบุตร แต่ทหารคงผลักรุนพระเยซูเจ้าไปข้างหน้า และสบประมาทเยาะเย้ยพระนาง…แม่พระยังคงติดตามพระบุตรไป
5. พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน
แม่พระเฝ้าดูลูกน้อยที่ถูกปรับโทษถึงตาย ตาย ทั้งๆ ที่ลูกน้อยนั้นเป็นคนบริสุทธิ์ ลูกน้อยที่พระนางรักอย่างสุดหัวใจ แต่กลับถูกทรมานอย่างโหดร้ายสุดประมาณ และตายอยู่ต่อหน้าต่อตาพระนาง " มารีย์ มารดาของพระเยซูเจ้ายืนอยู่ที่เชิงกางเขน " ( ยน . 19 : 25 ) แม่พระยืนอยู่แทบเชิงกางเขน เฝ้าดูพระบุตรถูกทรมาน และกำลังจะสิ้นใจ เขาถอดเสื้อผ้าของพระองค์ออกจับนอนลงกับกางเขน ตอกตะปูที่มือและเท้าอย่างทารุณ ยกกางเขนตั้งขึ้น แล้วปล่อยให้พระองค์สิ้นพระชนม์…พวกเพชรฆาตหนีไป แต่แม่พระมิได้จากไป พระนางเข้าไปใกล้ๆ เชิงกางเขนมากขึ้น ท่านซีมอนแห่งกาเซีย กล่าวว่า " ใครที่เห็นแม่พระยืนนิ่งเงียบโดยไม่บ่นอะไรแทบเชิงกางเขน คงจะตกใจเพราะพระนางอดทนจริงๆ ริมฝีปากเธอเงียบ แต่ใจเธอไม่เงียบ พระนางถวายพระบุตรเพื่อความรอดของเรา ดังนั้นที่เชิงกางเขนแม่พระจึงเป็นมารดาของเรา และเราเป็นลูก ๆ ของพระนาง " พระเยซูจึงตรัสแก่พระมารดาว่า " สตรีเอ๋ย นี่แน่ะลูกของท่าน "และตรัสกับอัครสาวกว่า " นี่แน่ะแม่ของเจ้า " ( ยน . 19 : 26 - 27 )
6.พระมารดารับพระศพพระเยซูลงจากกางเขน
จิตใจของพระมารดาไม่สามารถรับความบรรเทาได้ เพราะพระเยซูเจ้าได้สิ้นพระชนม์แล้ว แม้ว่าพระบุตรจะสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ยังถูกหอกแทงที่สีข้างด้วยความโหดร้าย " ทหารคนหนึ่งเอาหอกแทงสีข้างของพระองค์ " ( ยน. 19 : 34 ) แม้ว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์แล้วก็ตาม แม่พระรับพระศพพระเยซูลงจากกางเขน ดาบเล่มที่ 6 ได้ทิ่มแทงดวงหทัยของแม่พระ พระนางต้องทรมานทีละอย่างๆ และบัดนี้ทุกอย่างเอามารวมกันทรมานพระนางมากทวีคูณขึ้นไปอีก พระนางยังคงยอมรับทรมาน ซึ่งดูเหมือนว่าความทุกข์นี้ก็ยังคงอยู่เรื่อยๆ เพราะมนุษย์ทำบาป ก็เป็นการทรมานพระองค์ ขอให้เรากลับใจเสียใหม่ ดังที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวว่า " จงกลับใจเสียใหม่เถิด " ( อสย. 46 : 8 )
7. ฝังพระศพพระเยซูเจ้า
แม่พระผู้ระทมทุกข์กำลังแบมือรับร่างของพระบุตรที่ไร้ชีวิต เธอคงจะกล่าวเช่นเดียวกับมหาบุรุษโยบว่า " พระองค์ทรงกระทำกับข้าพเจ้าอย่างโหดร้ายนัก " ( โยบ 30 : 21 ) ความโศกเศร้าสุดแสนของแม่พระ พระบุตรยังคงอยู่ในอ้อมแขน พวกศิษย์กลัวแม่พระจะสิ้นใจ จึงรับพระศพไปจากพระนางเพื่อทำพิธีฝัง ถึงเวลาที่ต้องปลงพระศพ พระนางจะปวดร้าวใจสักเพียงใด ที่ต้องกล่าวอำลาครั้งสุดท้าย…แน่นอน ช่างเป็นภาพที่เศร้าสลดและปวดร้าวใจพระนางสุดพรรณา เมื่อคิดถึงโศกนาฏกรรมนี้
แม่พระบอกกับนักบุญบริจิตว่า " บุตรของฉันถูกฝัง แต่มีดวงใจสองดวง ที่ฝังอยู่ที่นั่นด้วย " ที่สุด พวกเขาก็ปิดที่ฝังพระศพของพระเยซูเจ้า ร่างกายนั้นมีค่ามากที่สุดทั้งบนแผ่นดินและในสวรรค์ แม่พระทรงทิ้งดวงใจของพระนางไว้กับพระบุตร เพราะพระองค์มีค่ามากที่สุด " เหตุว่า ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด จิตใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย " ( ลก .12 : 34 )
ข้อมูลจากเวปไซด์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ