.... แล้วพระองค์ก็หันมาทางอีกลุ่มหนึ่ง ในศตวรรษที่ 21 แล้วกล่าวว่า
1. เราหิว ขออาหารจากเจ้า แต่เจ้ากลับสร้างภัตตาคารที่หรูหรา ที่เมนูอาหารแต่ละรายการราคาแพง ขนาดรายได้ของคนยากจนหนึ่งเดือนยังไม่สามารถชำระค่าอาหารจานนี้ได้เลย
2. เราเปลือยกาย ไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่ม ขอเสื้อผ้าจากเจ้า แต่เจ้ากลับสร้างโรงงานผลิตใยสังเคราะห์เพื่อทอผ้าแพงๆ ออกแบบเสื้อแฟชั่นที่น้อยคนกล้าใส่ มีแต่นางแบบเท่านั้นที่กล้าสวมใส่เดินบน catwalk
3. เราป่วย เจ็บไข้ ขอยาจากเจ้า แต่เจ้ากลับสร้างศูนย์สุขภาพคลินิกที่รับเฉพาะคนที่สามารถจ่ายค่าหมอ ค่ายาแพงๆ คนไข้ยากจน เจ้าไล่ให้ไปหาศูนย์สาธารณสุขที่ให้ยาพื้นๆ ถูกๆไม่รู้ว่าจะช่วยลดไข้ได้หรือไม่
สมศรีและสดศรี ทั้งคู่เป็นหัวหน้าของชาวนาของเจ้านายเจ้าของนาคนเดียวกัน ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นเพื่อนกัน แต่วิธีการทำงานของทั้งสองแตกต่างกัน
สมศรีจะเตรียมงานของตนไว้อย่างรอบคอบ มิใช่สำหรับงานวันรุ่งขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับสัปดาห์หน้า สำหรับเดือนหน้า และสำหรับฤดูหน้าด้วย ส่วนสดศรี ถึงแม้เป็นหัวหน้าคนงานเธอกลับไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าไว้เลย ทีมคนงานของเธอจึงประสบความยุ่งยาก ขาดอุปกรณ์ทำนาขาดสิ่งจำเป็นสำหรับงานของตน
การนำตัวเราเองเผชิญหน้าพบพระเจ้า ก็คือ การภาวนาของมนุษย์นั่นเอง การภาวนาเมื่อเทียบเป็นกิจการหนึ่งของมนุษย์ ก็คือการนำตัวเราอยู่ต่อหน้าการประทับอยู่ของพระเจ้าในตัวเราเอง เพื่อว่าเราเองจะสามารถเห็นการประทับอยู่ของพระองค์ในทุกคน และในทุกสิ่งรอบๆตัวเรา
เพื่อที่จะภาวนาได้ เราจะต้องออกแรงเช่นกันที่จะสำรวมตน ตั้งจิตสำนึกตนทั้งด้านกายภาพ ความรู้สึก จินตนาการ ปรีชาญาณ อำเภอใจ ความต้องการ มิติเวลา สถานที่และสิ่งแวดล้อม เพื่อว่าตัวเราเองจะสามารถอยู่ตรงนี้ ที่นี่ เวลานี้จริง ต่อหน้าพระเจ้าในการพบปะกับพระองค์ด้วยความรักเป็นการส่วนตัว
อุปสรรค (ของการภาวนา) ก็คือการแสวงหาพระเจ้าเพื่อตัวเราเอง แทนที่จะภาวนาเพราะความรักต่อพระเจ้า แทนที่จะต้อนรับการประทับอยู่ของพระเจ้าในตัวเรา เรากลับปฏิบัติตัวกับพระองค์อย่างกับว่าพระองค์เป็นสิ่งของชนิดหนึ่งที่เราขวนขวายเพื่อสนองความอยาก ความต้องการของเรา
คำภาวนา/การภาวนา ต้องเป็นการเปิดใจ เป็นการฟัง เป็นความเชื่อ เป็นการต้อนรับและเป็นการมอบตัวเองทั้งครบต่อพระองค์ คำภาวนา/การภาวนา นำเราจากการตั้งตัวเราเป็นศูนย์กลางของความอยากได้ต่างๆ ไปสู่ความรักผู้อื่น
ใครก็ตามที่ได้รับการสอนเรื่องพระธรรมล้ำลึกของพระเจ้า (divine mysteries) ก็จะสำนึกว่า ชีวิตมนุษย์ที่เป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้านั้น ย่อมสมควรเหมาะเจาะกับธรรมชาติมนุษย์ เพราะชีวิตแห่งความรู้สึกสำนึกของเราตามธรรมชาติของเรานั้น ด้วยวิจารณญาณ ด้วยสามัญสำนึกที่บริสุทธิ์ใจและด้วยหัวใจที่เปิด จะนำเราสู่ความรู้ของสิ่งที่แลเห็นไม่ได้ ตามคำกล่าวในพระคัมภีร์ที่ว่า : เพราะจากความยิ่งใหญ่และความงดงามของสิ่งสร้างที่คล้ายกับพระผู้สร้าง มนุษย์เราก็น่าจะรู้จักพระองค์ได้ (ปรีชาญาณ 13 : 5) ใครที่สามารถมองทะลุความรู้สึก ความสำนึก ก็จะสามารถบรรลุถึงความจริง ความเป็นอยู่ (being) ของสิ่งสร้างต่างๆของพระเจ้าที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (constantly changing)
“ศีลมหาสนิท นำ กระแสเรียก”
1) พระองค์อยู่กับเราในศีลมหาสนิท เพื่อรวบรวมพวกเราทั้งหมดให้เป็นประชากรของพระองค์ เป็นชุมชนของพระองค์ เป็นพระศาสนจักร (ECCLESIA)
- เพื่อเราทุกคนจะเป็นตัวแทนของพระองค์ (agents) ที่จะรวบรวมทุกคนเข้าด้วยกัน เป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่ทำให้แตกแยก แบ่งแยก ขจัด หรือทอดทิ้งคนอื่น
2) พระองค์อยู่กับเราในศีลมหาสนิทเพื่อสอน อธิบายให้เราเข้าใจ และเผยพระวาจาของพระเจ้า
- เพื่อเราได้รำพึง ศึกษา เข้าใจ พระวาจาพระเจ้าให้ลึกซึ้งและนำพระวาจานี้สู่ผู้อื่นด้วยวิธีที่เสริมสร้างความเชื่อ
3) พระองค์อยู่กับเราในศีลมหาสนิทเพื่อฟังความต้องการของเรา พระองค์ฟังคำภาวนาของเราอยู่ตลอดเวลา