การไม่รู้พระคัมภีร์คือการไม่รู้จักพระคริสตเจ้า (นักบุญเยโรม)
เราพูดกับพระเจ้าเมื่อเราภาวนา เราฟังพระองค์เมื่อเราอ่านพระวาจา (น.อัมโบรส)
1.ผู้ชอบธรรมย่อมเป็นสุขเขาไม่เดินตามคำแนะนำของคนชั่ว ไม่ยืนในทางของคนบาป ไม่นั่งอยู่ร่วมกับคนชอบเยาะเย้ยผู้อื่น แต่ชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ ท่องบ่นธรรมบัญญัติของพระองค์ทั้งวันทั้งคืน (สดด 1:1-2)
พระวาจาของพระเจ้าได้ประทานชีวิตพระเจ้าให้แก่เรา พระวาจานี้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของแผ่นดิน ทำทุกสิ่งขึ้นใหม่ (เทียบ วว 21:5) พระวาจาของพระองค์ครอบคลุมพวกเรา ไม่เพียงแต่ในฐานะที่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น แต่ยังในฐานะผู้ประกาศพระวาจาอีกด้วย พระผู้ที่พระบิดาทรงส่งมาเพื่อปฏิบัติตาม พระประสงค์ [ของพระบิดา] (เทียบ ยน 5:36-38; 6:38-40;7:16-18) ทรงดึงดูดพวกเรามาหาพระองค์และทรงทำให้พวกเราผูกพันกับชีวิตและพันธกิจของพระองค์ พระจิตของพระผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพทรงทำให้ชีวิตของเราเหมาะสมจะประกาศพระวาจาไปทั่วโลก นี่คือประสบการณ์ของกลุ่มคริสตชนในสมัยแรกซึ่งรู้ดีว่าพระวาจาแพร่ขยายไปโดยการประกาศและการเป็นพยานยืนยัน (เทียบ กจ 6:7) ที่ตรงนี้เราคิดเป็นพิเศษถึงชีวิตของเปาโลอัครสาวกซึ่งถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงตัวไว้ทั้งหมด (เทียบ ฟป 3:12) –“ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ มิใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไป แต่พระคริสตเจ้าทรงดำรงชีวิตอยู่ในตัวข้าพเจ้า” (กท2:20) – และจากพันธกิจของท่าน “หากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวดี ข้าพเจ้าย่อมได้รับความวิบัติ” (1คร 9:16) ท่านรู้ดีว่าความจริงที่ได้รับการเปิดเผยในพระคริสตเจ้าคือความรอดพ้นของชนทุกชาติ เพื่อทรงช่วยให้รอดพ้นจริง ๆจากการเป็นทาศของบาปเข้ามารับอิสรภาพเป็นบุตรของพระเจ้า
พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียวและไม่มีที่สิ้นสุด แต่พระองค์ไม่ทรงอยู่โดดเดี่ยว เหตุว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก พระองค์จึงทรงเป็นสามพระบุคคลซึ่งรักกันและกัน
ในพระเจ้าหนึ่งเดียว พระบิดา คือ พระผู้ให้ พระบุตร คือ พระผู้ทรงรับพระบิดา และมอบชีวิตตนให้แก่พระบิดา เพื่อโมทนาพระคุณพระองค์ พระจิต คือ พระผู้เป็นความสัมพันธ์ และความรักระหว่างพระบิดาและพระบุตร ทั้งสามพระบุคคลที่แตกต่างกันทรงเป็นหนึ่งเดียว ทรงเป็นความรักที่พิเศษจำเพาะทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว ในโลกที่พระองค์ทรงสร้าง ทั้งสามพระบุคคลทรงกระทำการร่วมกัน ทั้งนี้เพราะความรักของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวพิเศษจำเพาะ